เปรียบเทียบการศึกษาไทย ออสเตรเลีย ระดับมัธยม

การเปรียบเทียบการศึกษาไทย ออสเตรเลียในระดับมัธยมศึกษานับเป็นประเด็นที่น่าสนใจ เพราะทั้งสองประเทศมีระบบการศึกษาที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะในด้านโครงสร้างหลักสูตร วิธีการเรียนการสอน และวิชาที่เลือกเรียน การทำความเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ปกครองและนักเรียนสามารถตัดสินใจเลือกแนวทางการศึกษาที่เหมาะสมได้ดียิ่งขึ้น

การศึกษาไทยระดับมัธยม

การศึกษาไทยระดับมัธยม

การศึกษาในระดับมัธยมของประเทศไทย มุ่งเน้นการพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้และทักษะพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นและการประกอบอาชีพในอนาคต โดยแบ่งโรงเรียนออกเป็น 2 รูปแบบ โรงเรียนรัฐและโรงเรียนเอกชน

การแบ่งชั้นเรียน

การศึกษาระดับมัธยมในประเทศไทยสายสามัญ จะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ มัธยมศึกษาตอนต้น (ม.1-3) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาภาคบังคับ 9 ปี (ป.1-ม.3)​​ และมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.4-6) รวมระยะเวลาการศึกษา 6 ปี  โดยนักเรียนจะเริ่มเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เมื่ออายุประมาณ 12-13 ปี และมัธยมศึกษาปีที่ 4 เมื่ออายุประมาณ 15-16 ปี

สำหรับสายอาชีพ แบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ ประกาศนียบัตรวิชาชีพปี 1 ประกาศนียบัตรวิชาชีพปี 2 และประกาศนียบัตรวิชาชีพปี 3 จะเทียบเท่าระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ม.4 ม.5 และ ม. 6 ตามลำดับ

รูปแบบการเรียนการสอน

รูปแบบการเรียนการสอนในไทย

ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จะเรียนวิชาพื้นฐานเหมือนกันทั้งหมด แต่ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย มักแบ่งการศึกษาออกเป็นกลุ่มสาระต่าง ๆ ตามความถนัดและความสนใจของผู้เรียน หรือที่เราเรียกว่า “สายการเรียน หรือแผนการเรียน” ได้แก่

  • กลุ่มที่เน้นการเรียนรู้ด้าน วิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ (สายวิทย์-คณิต)
  • กลุ่มที่เน้นการเรียนรู้ด้าน ศิลปศาสตร์-คณิตศาสตร์ (สายศิลป์-คำนวณ)
  • กลุ่มที่เน้นการเรียนรู้ด้าน ศิลปศาสตร์-ภาษา (สายศิลป์-ภาษา)
  • กลุ่มที่เน้นการเรียนรู้ด้าน ศิลปศาสตร์-สังคม (สายศิลป์-สังคม)

ในส่วนของรูปแบบการเรียนการสอนในระบบการศึกษาไทยมักเน้นการเรียนในห้องเรียนแบบบรรยาย โดยครูเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้และนักเรียนเป็นผู้รับ แม้ว่าในปัจจุบันจะมีการปรับเปลี่ยนให้มีกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลายมากขึ้น แต่การประเมินผลยังคงให้ความสำคัญกับการสอบและคะแนนเป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและชมรมต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมทักษะนอกห้องเรียน

ประเภทโรงเรียนมัธยม

แบ่งโรงเรียนออกเป็น 2 รูปแบบหลัก ๆ คือ โรงเรียนรัฐและโรงเรียนเอกชน โดยโรงเรียนรัฐนั้นจะบริหารจัดการโดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือหน่วยงานอื่น ๆ ที่ไม่ได้สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น ส่วนโรงเรียนเอกชนจะบริหารจัดการโดยกลุ่มบุคคลหรือมูลนิธิต่าง ๆ ที่มีใบอนุญาตจัดตั้ง

โดยโรงเรียนรัฐและโรงเรียนเอกชน ก็จะมีแยกย่อยลงไปอีก เช่น โรงเรียนเอกชนหลักสูตรไทย โรงเรียนนานาชาติที่นำเอาหลักสูตรการเรียนของต่างประเทศมาสอน และโรงเรียนเฉพาะทาง เช่น โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย หรือโรงเรียนกีฬา แต่ละประเภทมีจุดเด่นและรูปแบบการจัดการศึกษาที่แตกต่างกัน เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้เรียน

ภาคการศึกษา

ระบบการศึกษาไทยแบ่งปีการศึกษาออกเป็น 2 ภาคเรียน โดยภาคเรียนที่ 1 เริ่มประมาณเดือนพฤษภาคม-กันยายน และภาคเรียนที่ 2 เริ่มประมาณเดือนพฤศจิกายน-มีนาคม มีช่วงปิดภาคเรียนระหว่างภาคการศึกษาและช่วงปิดภาคฤดูร้อน

วิชาที่เลือกเรียน

หลักสูตรการศึกษาไทยกำหนดให้เรียนวิชาพื้นฐาน 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ได้แก่ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา สุขศึกษาและพลศึกษา ศิลปะ การงานอาชีพและเทคโนโลยี และภาษาต่างประเทศ ในระดับมัธยมปลาย นักเรียนสามารถเลือกแผนการเรียนตามความถนัดและความสนใจ เช่น วิทย์-คณิต, ศิลป์-คำนวณ, ศิลป์-ภาษา

วุฒิการศึกษา

เมื่อจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น นักเรียนจะได้รับประกาศนียบัตรมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.3) และเมื่อจบมัธยมศึกษาตอนปลายจะได้รับประกาศนียบัตรมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.6) ซึ่งสามารถใช้ในการศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาหรือสมัครงานได้

การศึกษาออสเตรเลีย ระดับมัธยม

การศึกษาออสเตรเลีย ระดับมัธยม

การศึกษาระดับมัธยมในออสเตรเลียมีความยืดหยุ่นและหลากหลาย เนื่องจากแต่ละรัฐมีอำนาจในการจัดการศึกษาของตนเอง ทำให้มีรูปแบบการเรียนการสอนที่แตกต่างกันไป แต่ยังคงมาตรฐานการศึกษาระดับสูงที่เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ การเปรียบเทียบการศึกษาไทย ออสเตรเลียจึงแสดงให้เห็นความแตกต่างที่น่าสนใจหลายประการ มาดูรายละเอียดแต่ละส่วนกัน

การแบ่งชั้นเรียน

ระบบการศึกษาออสเตรเลียแบ่งระดับมัธยมศึกษาเป็น 

  • มัธยมศึกษาตอนต้น (Junior Colleges) คือ Year 7 หรือ Year 8 – Year 10
  • มัธยมศึกษาตอนปลาย (Senior Colleges) คือ Year 11 และ Year 12

รูปแบบการเรียนการสอน

รูปแบบการเรียนการสอนในออสเตรเลีย

การเรียนการสอนในออสเตรเลียเน้นการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และการลงมือปฏิบัติ ครูผู้สอนผ่านการรับรองและได้รับการฝึกอบรมจากมหาวิทยาลัยและเป็นครูผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชา ชั้นเรียนมีขนาดเล็ก มีนักเรียนสูงสุดไม่เกิน 30 คนต่อชั้นเรียน เน้นการมีปฏิสัมพันธ์กันในชั้นเรียน ไม่ว่าจะเป็นการทำงานกลุ่ม การนำเสนอผลงาน การประเมินผลพิจารณาจากหลายองค์ประกอบ ทั้งการสอบ การทำงาน และการมีส่วนร่วมในชั้นเรียน

ประเภทโรงเรียนมัธยม

โรงเรียนมัธยมในออสเตรเลียแบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้

  • โรงเรียนรัฐบาล อยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานการศึกษาของแต่ละรัฐ ส่วนใหญ่เป็นสหศึกษาและเป็นโรงเรียนไปกลับ
  • โรงเรียนเอกชน มาตรฐานหลักสูตรเดียวกับโรงเรียนรัฐบาล แต่บริหารจัดการโรงเรียนด้วยตัวเอง มีทั้งโรงเรียนสหศึกษา หญิงล้วน และชายล้วน รวมถึงมีทั้งโรงเรียนประจำ และไปกลับ
  • โรงเรียนคาทอลิก หรือโรงเรียนที่ได้รับการสนับสนุนจากศาสนา บริหารงานโดยองค์กรอิสระร่วมกับโบสถ์ ส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนไปกลับ และมีโรงเรียนประจำบ้างในบางเมือง

ภาคการศึกษา

ปีการศึกษาของออสเตรเลียแบ่งเป็น 4 ภาคเรียน เริ่มต้นในเดือนมกราคมและสิ้นสุดในเดือนธันวาคม ดังนี้ 

  • เทอม 1 ปลายเดือนมกราคม – กลางเดือนเมษายน
  • เทอม 2 ปลายเดือนเมษายน – กลางเดือนกรกฎาคม
  • เทอม 3 ปลายเดือนกรกฎาคม – กลางเดือนกันยายน
  • เทอม 4 ปลายเดือนตุลาคม – กลางเดือนธันวาคม

วิชาที่เลือกเรียน

หลักสูตรออสเตรเลียให้อิสระในการเลือกวิชาเรียนมากกว่าไทย โดยเฉพาะในระดับ Year 11-12 นักเรียนสามารถเลือกวิชาตามความสนใจและเป้าหมายการศึกษาต่อ วิชาในระดับมัธยมปลายประกอบด้วย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วรรณคดีอังกฤษ เศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สังคมศาสตร์ กฎหมาย คอมพิวเตอร์ การสื่อสาร เป็นต้น รวมถึงวิชาเฉพาะทางต่าง ๆ เช่น ดนตรี ศิลปะ การละคร และการกีฬา 

โดยทั่วไปนักเรียนจะเลือกเรียน 4-5 วิชาหลัก ซึ่งเป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาในระดับอุดมศึกษา และเลือกอีก 1-2 วิชาเป็นวิชาเลือก เพราะระดับอุดมศึกษาไม่ได้ใช้ระบบการสอบเข้าเหมือนประเทศไทย แต่จะใช้ผลการเรียน Year 11-12 และผลการสอบปลายภาคเพื่อยื่นสมัครเรียน เช่น ATAR Score หรือ International Baccalaureate (IB) ทั้งนี้ การเลือกวิชาเรียนจะอยู่ในการแนะนำจากเจ้าหน้าที่แนะแนวของโรงเรียน

วุฒิการศึกษา

เมื่อจบการศึกษา Year 12 ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนรัฐบาลหรือโรงเรียนเอกชน จะมีวุฒิการศึกษา หรือหลักสูตรประกาศนียบัตรระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (Senior Secondary Certificate of Education หรือ SSCE) แยกเป็นของแต่ละรัฐอย่างชัดเจน ดังนี้

  • มณฑลเมืองหลวง Australian Capital Territory : High School Certificate [HSC]
  • รัฐ New South Wales : High School Certificate [HSC]
  • มณฑล Northern Territory : Northern Territory Certificate of Education [NTCE]
  • รัฐ Queensland : Queensland Certificate of Education [QCE]
  • รัฐ South Australia : SACE: South Australian Certificate of Education [SACE]
  • รัฐ Tasmania : Tasmanian Certificate of Education [TCE]
  • รัฐ Victoria : Victoria Certificate of Education [VCE]
  • รัฐ Western Australia : Western Australian Certificate of Education [WACE]

ตารางสรุปความต่างระหว่าง การศึกษาไทย VS ออสเตรเลีย

ประเด็นระบบการศึกษาไทยระบบการศึกษาออสเตรเลีย
การแบ่งชั้นเรียนม.1-6 (6 ปี)Year 7-12 (6 ปี)
ภาคการศึกษา2 ภาคเรียน4 ภาคเรียน 
การเลือกวิชาเรียนจำกัดตามแผนการเรียนยืดหยุ่น เลือกได้หลากหลาย
รูปแบบการเรียนการสอนเน้นการบรรยาย ท่องจำเน้นการคิดวิเคราะห์ ลงมือปฏิบัติ
การประเมินผลเน้นการสอบเป็นหลักหลากหลายรูปแบบ ทั้งงานเดี่ยว งานกลุ่ม และการสอบ
วุฒิการศึกษาม.3 และ ม.6HSC, VCE, QCE และอื่น ๆ (ขึ้นอยู่กับรัฐ)

สรุปบทความ

การเปรียบเทียบการศึกษาไทย ออสเตรเลียในระดับมัธยมศึกษาแสดงให้เห็นความแตกต่างหลายประการ โดยระบบการศึกษาออสเตรเลียให้อิสระในการเลือกวิชาเรียนและมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ผ่านการปฏิบัติจริง ในขณะที่ระบบการศึกษาไทยมีความเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด และให้ความสำคัญกับการสร้างพื้นฐานความรู้ที่ครอบคลุม ทั้งสองระบบต่างมีจุดแข็งที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาผู้เรียน

สำหรับผู้ปกครองและนักเรียนที่สนใจศึกษาต่อในออสเตรเลีย หรือเรียนต่อโรงเรียนต่างประเทศอื่น ๆ CETA พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกโรงเรียน การสมัครเรียน การเตรียมความพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตในต่างแดน ตลอดจนจบการศึกษา

CETA เป็นผู้เชี่ยวชาญโครงการ Summer Course โครงการ Short-term และการศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาที่ต่างประเทศ พร้อมประสบการณ์ในวงการศึกษาต่อต่างประเทศมากกว่า 23 ปี สอบถามรายละเอียดโครงการต่าง ๆ จาก CETA ได้ที่ 

รวมลิสต์ 7 โรงเรียนต่างประเทศดัง ๆ

การศึกษาในต่างประเทศเป็นประสบการณ์ที่มีค่า เพราะนอกจากได้พัฒนาทักษะภาษา ยังได้เรียนรู้การใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมใหม่ บทความนี้ CETA จะพาไปทำความรู้จักกับโรงเรียนต่างประเทศดัง ๆ ที่มีคุณภาพการศึกษาระดับแนวหน้า พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เหมาะสำหรับการเรียนและการใช้ชีวิต

แนะนำ 7 โรงเรียนต่างประเทศดัง ๆ

การเลือกโรงเรียนที่เหมาะสมเป็นก้าวสำคัญสู่ความสำเร็จในการศึกษาต่างประเทศ มาดูกันว่า โรงเรียนต่างประเทศดัง ๆ แต่ละแห่งมีจุดเด่นอะไรบ้าง

1. Geelong Grammar School, Australia

Geelong Grammar School, Australia

ถ้าพูดถึงโรงเรียนต่างประเทศดัง ๆ ในออสเตรเลีย ต้องมี Geelong Grammar School ติดท็อปลิสต์แน่นอน เพราะที่นี่โดดเด่นในฐานะโรงเรียนสหศึกษาที่มีหอพักนักเรียนขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ ภายในโรงเรียนมี Handbury Centre อาคารอเนกประสงค์ที่รวมทั้งอุปกรณ์ออกกำลังกาย สระว่ายน้ำ และสถานพยาบาล เพื่อสนับสนุนการพัฒนาทั้งด้านร่างกายและจิตใจของนักเรียน

โรงเรียนมีแนวทางการศึกษาที่เน้น Positive Education โดยร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาจาก University of Pennsylvania และยังมี Wellbeing Centre มูลค่ากว่า 16 ล้านเหรียญ เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้สำหรับนักเรียน นอกจากนี้ยังมีแคมปัสพิเศษ Timbertop สำหรับนักเรียน Year 9 ที่จะได้เรียนรู้ท่ามกลางธรรมชาติสวย ๆ พร้อมกิจกรรมเสริมหลักสูตรมากกว่า 100 กิจกรรม

หลักสูตร

  • PYP Program ที่ Toorak Campus
  • IB Diploma สำหรับนักเรียน Year 11 และ 12
  • VCE สำหรับนักเรียน Year 11 และ 12

ประเภทที่พัก

นักเรียนที่ไม่มีผู้ปกครองอยู่ที่ออสเตรเลียทุกคนจะต้องอยู่หอพักของโรงเรียน ในแต่ละหอพักจะมีคุณครูซึ่งเป็นหัวหน้าหอพักคอยดูแลอย่างใกล้ชิด

2. Hutchins & St.Michael’s Collegiate, Australia

มาต่อกันที่โรงเรียนมัธยมในออสเตรเลียอีก 2 แห่ง อย่าง Hutchins School และ St Michael’s Collegiate School

The Hutchins School

Hutchins School เป็นโรงเรียนเอกชนชายล้วนที่มีประวัติยาวนานตั้งแต่ปี 1846 ตั้งอยู่ในเมืองโฮบาร์ท รัฐแทสเมเนีย ห่างจากใจกลางเมืองเพียง 5 นาที โรงเรียนมีนักเรียนกว่า 1,100 คน พร้อมหอพักที่แบ่งตามช่วงอายุ โดยนักเรียน Year 7-9 จะอยู่ห้องพักแบบแชร์ห้องน้ำกัน ส่วน Year 10-12 จะได้ห้องพักส่วนตัว ใน Year 11-12 มีการเรียนร่วมกับ St Michael’s Collegiate School ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนหญิงล้วนในเมืองโฮบาร์ท

หลักสูตร

  • Australian Curriculum และ TASC Curriculum

ประเภทที่พัก

หอพักของโรงเรียน มีห้องพัก ห้องน้ำ และพื้นที่พักผ่อนที่กว้างขวางและตกแต่งสวยงาม นอกจากนี้นักเรียนประจำยังสามารถใช้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกด้านกีฬา ห้องออกกำลังกาย และห้องเวทของโรงเรียนได้

St. Michael's Collegiate School

สำหรับ St. Michael’s Collegiate School เป็นโรงเรียนหญิงล้วนที่มีประวัติยาวนานกว่า 133 ปี มุ่งเน้นความเป็นเลิศทางวิชาการควบคู่กับการพัฒนาทักษะรอบด้าน ทั้งศิลปะ กีฬา และกิจกรรมกลางแจ้ง นอกจากนี้ทางโรงเรียนยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน รวมถึงสระว่ายน้ำในร่ม โรงยิม ห้องสมุด และศูนย์ศิลปะการแสดงสำหรับทุกคนอีกด้วย

หลักสูตร

  • Australian Curriculum และ TASC Curriculum

ประเภทที่พัก

หอพักโรงเรียน ตั้งอยู่ท่ามกลางสนามหญ้าสีเขียว ร่มรื่น มีสถานที่ให้เล่นหรือผ่อนคลาย นอกจากนี้ นักเรียนยังสามารถเข้าใช้สระว่ายน้ำในร่ม โรงยิม สตูดิโอ Music & Dance และห้องสมุดของโรงเรียนได้อีกด้วย

3. Queen Ethelburga’s Collegiate, UK

Queen Ethelburga's Collegiate, UK

Queen Ethelburga’s College (QE) เป็นสถาบันการศึกษาชั้นนำของอังกฤษที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1912 ปัจจุบันมีนักเรียนประมาณ 1,000 คน จากกว่า 67 ประเทศทั่วโลก โรงเรียนแบ่งการเรียนเป็นสองส่วน คือ College สำหรับนักเรียนที่เน้นด้านวิชาการ และ Faculty สำหรับนักเรียนที่ถนัดภาคปฏิบัติ

โรงเรียนมีพื้นที่กว่า 250 ไร่ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกระดับพรีเมียม โดดเด่นด้วยหอพักที่ได้รับการยกย่องว่าดีที่สุดในยุโรป ทุกห้องเป็นห้องส่วนตัว ห้องนอนทุกห้องมีห้องน้ำในตัว และจำกัดจำนวนนักเรียนที่ 2 -3 คน/ห้อง ตอบโจทย์คนที่ต้องการความเป็นส่วนตัว นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมเสริมหลักสูตรกว่า 150 กิจกรรม เพื่อพัฒนาศักยภาพนักเรียนอย่างรอบด้าน

หลักสูตร

  • GCSE, A-Level, BTEC Level 2, BTEC Level 3

ประเภทที่พัก

หอพักที่ดีที่สุดในเกาะอังกฤษและยุโรป มีโทรศัพท์สายตรง, Voice mail, โทรทัศน์จอแบน, เครื่องเล่น DVD Sony PS3, เตารีด และที่เป่าผม นอกจากนี้ภายในหอพักยังมีห้องครัวเล็ก ๆ พร้อมตู้เย็นและไมโครเวฟ ส่วนห้องนอนทุกห้องจะติดตั้งแอร์และห้องน้ำส่วนตัว

4. Berkhamsted School, UK

Berkhamsted School, UK

Berkhamsted School อีกหนึ่งโรงเรียนมัธยมในอังกฤษ เป็นสถาบันการศึกษาที่มีประวัติยาวนานกว่า 480 ปี ตั้งอยู่ที่เมือง Hertfordshire นั่งรถไฟจากลอนดอนเพียง 30 นาที โรงเรียนจัดการเรียนการสอนแบบแยกชายหญิงในระดับอายุ 11-16 ปี และรวมชั้นในระดับ Sixth Form (ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย)

การเรียนการสอนของที่นี่จะเน้นด้านวิชาการ เพื่อเตรียมพร้อมนักเรียนสำหรับการศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำ นอกจากนี้ยังมีหลักสูตร Mini MBA และการอบรมทักษะวิชาชีพจากหลากหลายอุตสาหกรรม จุดเด่นของโรงเรียนคือผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาที่โดดเด่น นักเรียนกว่า 45% สามารถทำคะแนน A*-A ในหลักสูตร A-Level และในช่วงปี 2012-2018 มีนักเรียนสอบเข้า Oxford และ Cambridge ได้ถึง 47 คน

หลักสูตร

  • GCSE และ A-Level

ประเภทที่พัก

หอพักของโรงเรียน แยกเป็นหอพักชายและหอพักหญิง ภายในตกแต่งอย่างดี ให้บรรยากาศอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน ห้องพักมีทั้งแบบห้องเดี่ยวและห้องคู่ ส่วนใหญ่มีห้องน้ำในตัว นอกจากนี้ยังมีห้องนั่งเล่น พื้นที่สำหรับการเรียน ห้องครัว และสวนส่วนกลาง หอพักตั้งอยู่ใกล้กับตัวโรงเรียน สนามกีฬา ถนนสายหลัก และสถานีรถไฟ สะดวกมาก ๆ

5. Clifton College, UK

Clifton College, UK

Clifton College โรงเรียนต่างประเทศดัง ๆ อีกแห่งที่ก่อตั้งตั้งแต่ปี 1862 ตั้งอยู่ในเมือง Bristol เมืองที่ได้รับการยกย่องว่าน่าอยู่ที่สุดในสหราชอาณาจักร โรงเรียนโดดเด่นด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ วรรณคดี และศิลปะ ส่วนผลการเรียนของที่นี่ ขอบอกเลยว่าสุดยอดไม่แพ้กัน เพราะ 83% ของนักเรียนได้เกรด B ถึง A* ในระดับ A Level นอกเหนือจากความเป็นเลิศทางวิชาการ Clifton College ยังส่งเสริมให้นักเรียนได้ทำกิจกรรมนอกห้องเรียนตามความถนัดของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นกีฬา ดนตรี ศิลปะ รวมไปถึงการละคร มุ่งสร้างนักเรียนให้มีความรอบรู้ มั่นใจ และพร้อมใช้ชีวิตในสังคมอย่างเข้มแข็ง

หลักสูตร

  • GCSE และ A Level

ประเภทที่พัก

หอพักของโรงเรียน แบ่งเป็นหอพักนักเรียนชาย และหอพักนักเรียนหญิง ในแต่ละหอพักจะมีอาจารย์ประจำหอพัก (ทั้งชายและหญิง)

6. St. Michaels University School, Canada

St. Michaels University School, Canada

ถ้ามองหาโรงเรียนต่างประเทศดัง ๆ ในแคนาดา ขอแนะนำ St. Michaels University School (SMUS) ตั้งอยู่ที่เมือง Victoria รัฐ British Columbia ก่อตั้งขึ้นในปี 1906 เป็นโรงเรียนประจำชั้นนำของแคนาดาที่มีชื่อเสียง โรงเรียนผสมผสานหลักสูตรระดับมัธยมศึกษากับการเตรียมความพร้อมสู่มหาวิทยาลัยได้อย่างลงตัว อุปกรณ์การเรียนและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย ช่วยส่งเสริมให้การเรียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีหลักสูตรภาษาอังกฤษ ESL สำหรับนักเรียนต่างชาติที่ระดับภาษาอังกฤษยังไม่เทียบเท่าเกณฑ์อีกด้วย

หลักสูตร

  • ได้รับเลือกให้เป็นโรงเรียนนำร่องสำหรับหลักสูตร AP Capstone and  longest-running Advanced Placement programs

ประเภทที่พัก

หอพักของโรงเรียน ​มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ครบครัน เช่น ชั้นวางหนังสือ โคมไฟ ห้องน้ำส่วนตัว เป็นต้น

7. St. George’s International, Switzerland

St. George's International, Switzerland

St. George’s International เป็นโรงเรียนนานาชาติในสวิตเซอร์แลนด์ มีทั้งนักเรียนแบบประจำและไปกลับ โรงเรียนยึดหลักปรัชญาการใฝ่เรียนรู้ มุ่งพัฒนานักเรียนอย่างเต็มศักยภาพในบรรยากาศที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ มีนักเรียนจากกว่า 60 ประเทศ จึงเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้วัฒนธรรมที่หลากหลาย

จุดเด่นของโรงเรียนแห่งนี้ คือห้องเรียนขนาดเล็ก เน้นดูแลเอาใจใส่นักเรียนเป็นรายบุคคล นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมนอกหลักสูตรที่หลากหลาย และใน Year 12 และ 13 หลักสูตร IB Diploma และ High School Diploma จะมีชุดวิชาให้เลือกเรียนเพื่อให้ตรงตามเกณฑ์การเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย

หลักสูตร

  • IGCSE, Pre-IB, IB Diploma  และ High School Diploma

ประเภทที่พัก

หอพักของโรงเรียน ตั้งอยู่บนพื้นที่แคมปัสขนาด 12 เอเคอร์ โดยแบ่งเป็นโซนแยกอย่างชัดเจน มีทั้งห้องเดี่ยว ห้องคู่ และห้องสามคน

สรุปบทความ

โรงเรียนต่างประเทศดัง ๆ เหล่านี้ไม่เพียงมอบการศึกษาที่มีคุณภาพ แต่ยังมอบประสบการณ์ที่มีค่า และเป็นประตูสู่มหาลัยชั้นนำต่อไปในอนาคต หากผู้ปกครองสนใจส่งบุตรหลานไปเรียนต่อมัธยมปลายต่างประเทศที่โรงเรียนเหล่านี้ หรือสนใจโรงเรียนต่างประเทศอื่น ๆ ทั้งโรงเรียนมัธยมในอังกฤษ ออสเตรเลีย สวิตเซอร์แลนด์ หรือโรงเรียนมัธยมในแคนาดา CETA ยินดีให้คำปรึกษา ดูแลตั้งแต่การสมัครเรียนและตลอดการศึกษา จากประสบการณ์ตรงมากกว่า 23 ปี

CETA เป็นผู้เชี่ยวชาญโครงการ Summer Course โครงการ Short-term และการศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาที่ต่างประเทศ พร้อมประสบการณ์ในวงการศึกษาต่อต่างประเทศมากกว่า 23 ปี สอบถามรายละเอียดโครงการต่าง ๆ จาก CETA ได้ที่

รวม 7 วิธีฝึกภาษาอังกฤษให้เป๊ะ อยากเก่งภาษาต้องดู

รวม 7 วิธีฝึกภาษาอังกฤษให้เป๊ะ อยากเก่งภาษาต้องดู

ภาษาอังกฤษเป็นทักษะสำคัญที่ขาดไม่ได้ในโลกปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การเรียน หรือการท่องเที่ยว หลายคนอาจคิดว่าการฝึกภาษาอังกฤษเป็นเรื่องยาก แต่จริง ๆ แล้วมีหลากหลายวิธีที่จะช่วยพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษได้อย่างสนุกสนานและมีประสิทธิผล มาดูกันว่ามีวิธีฝึกภาษาอังกฤษวิธีไหนบ้างที่จะช่วยยกระดับภาษาอังกฤษของคุณให้แข็งแกร่งขึ้น

แนะนำ 7 วิธีฝึกภาษาอังกฤษ

การพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการเรียนในห้องเรียนเพียงอย่างเดียว วิธีฝึกภาษาอังกฤษที่จะแนะนำต่อไปนี้เป็นเทคนิคที่สามารถทำได้ทุกวัน และเห็นผลลัพธ์ชัดเจน เพียงแค่คุณมีความมุ่งมั่นและทำอย่างต่อเนื่อง

1. ดูซีรีส์และภาพยนตร์ภาษาอังกฤษ

การเลือกดูซีรีส์และภาพยนตร์ภาษาอังกฤษเป็นหนึ่งในวิธีฝึกภาษาอังกฤษที่สนุกและได้ผลลัพธ์ดีสุด ๆ เริ่มต้นจากการเปิดซับไตเติ้ลภาษาอังกฤษควบคู่กับการฟังเสียงต้นฉบับ จะช่วยให้คุ้นเคยกับการออกเสียง สำนวน และการใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน พยายามจับประโยคที่ตัวละครพูดและพูดตาม หากเจอคำศัพท์หรือสำนวนที่น่าสนใจก็จดบันทึกไว้ เมื่อทำไปสักระยะ จะพบว่าความเข้าใจภาษาอังกฤษของคุณพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

2. ฟังพอดแคสต์ภาษาอังกฤษ

พอดแคสต์เป็นสื่อที่เหมาะสำหรับการฝึกภาษาอังกฤษแบบเคลื่อนที่ คุณสามารถฟังได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะระหว่างเดินทาง ออกกำลังกาย หรือทำงานบ้าน เลือกพอดแคสต์ที่ตรงกับความสนใจของคุณ อาจเป็นเรื่องธุรกิจ การท่องเที่ยว หรือการพัฒนาตนเอง การฟังเนื้อหาที่คุณชื่นชอบจะทำให้การเรียนรู้ภาษาเป็นเรื่องสนุกและน่าติดตาม พยายามฟังอย่างตั้งใจและจับใจความสำคัญ หากไม่เข้าใจตอนไหนสามารถย้อนกลับมาฟังซ้ำได้

3. ลงคอร์สซัมเมอร์ต่างประเทศ

สำหรับน้อง ๆ วัยเรียน ไม่อยากให้พลาดคอร์สเรียนซัมเมอร์ต่างประเทศ เพราะเป็นโอกาสที่จะได้ฝึกใช้ภาษาในสถานการณ์จริง พบปะเพื่อน ๆ จากหลากหลายประเทศ และเรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่าง โปรแกรมซัมเมอร์มักจัดกิจกรรมที่หลากหลาย ทั้งการเรียนในห้องเรียน การทำกิจกรรมกลุ่ม และการทัศนศึกษา ซึ่งจะช่วยพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษแบบก้าวกระโดด เพราะจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารตลอดเวลา รับรองว่า กลับไทยมาแล้วพูดคล่องกว่าเดิมแน่นอน!

ลงคอร์สซัมเมอร์ต่างประเทศ

4. หาเพื่อนชาวต่างชาติผ่านแอปพลิเคชัน

การมีเพื่อนชาวต่างชาติเป็นวิธีฝึกภาษาอังกฤษที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการสื่อสาร ปัจจุบันมีแอปพลิเคชันมากมายที่ออกแบบมาเพื่อการแลกเปลี่ยนภาษาโดยเฉพาะ สามารถพูดคุยผ่านข้อความ เสียง หรือวิดีโอคอล แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหัวข้อที่สนใจร่วมกัน การพูดคุยกับเจ้าของภาษาจะช่วยให้เข้าใจการใช้ภาษาในบริบทต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น และยังได้เรียนรู้สำนวนที่ใช้จริงในชีวิตประจำวันอีกด้วย

5. ฝึกสำเนียงจากหนังหรือเพลงที่ชอบ

การฝึกสำเนียงจะทำให้การสื่อสารภาษาอังกฤษเป็นธรรมชาติมากขึ้น อาจจะเลือกฉากจากหนังหรือเลือกเพลงที่ชื่นชอบ ฟังซ้ำหลาย ๆ ครั้งและพยายามเลียนแบบการออกเสียง น้ำเสียง และจังหวะการพูด สังเกตการเน้นเสียงหนักเบา การเชื่อมเสียง และการลงท้ายประโยค การฝึกซ้ำ ๆ จะช่วยให้กล้ามเนื้อในการออกเสียงแข็งแรงขึ้น และพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วเป็นธรรมชาติ

6. ฝึกพูดภาษาอังกฤษกับตัวเองหน้ากระจก

หลังจากฝึกสำเนียงแล้ว ลองพูดกับตัวเองหน้ากระจก โดยเริ่มจากการเล่าเรื่องราวในชีวิตประจำวัน แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหัวข้อที่สนใจ หรือจำลองสถานการณ์การสนทนาต่าง ๆ การมองเห็นตัวเองในกระจกจะช่วยให้สังเกตการแสดงออกทางสีหน้าและท่าทาง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสื่อสาร อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความมั่นใจในการพูดภาษาอังกฤษ เพราะได้ฝึกซ้อมในพื้นที่ของตัวเอง

7. อ่านเยอะ ๆ เพื่อเพิ่มคลังคำศัพท์

การอ่านเป็นวิธีฝึกภาษาอังกฤษที่ช่วยเพิ่มพูนคลังคำศัพท์และความเข้าใจในโครงสร้างประโยค โดยเลือกอ่านสิ่งที่ตัวเองสนใจ ไม่ว่าจะเป็นบทความออนไลน์ นิยาย หนังสือพิมพ์ หรือนิตยสาร พยายามทำความเข้าใจความหมายจากบริบท และจดบันทึกคำศัพท์หรือสำนวนใหม่ ๆ ที่พบ การอ่านสม่ำเสมอจะช่วยให้คุ้นเคยกับรูปแบบการเขียนที่หลากหลาย และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการเขียนและพูดของตัวเอง

อ่านเยอะ ๆ เพื่อเพิ่มคลังคำศัพท์

สรุปบทความ

การพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษเป็นการลงทุนระยะยาวที่คุ้มค่า วิธีฝึกภาษาอังกฤษที่นำเสนอไปทั้งหมดนี้สามารถทำควบคู่กันได้ตามความเหมาะสมของแต่ละคน สำหรับผู้ปกครองหรือน้อง ๆ ที่สนใจฝึกภาษาอังกฤษด้วยการเรียนซัมเมอร์ที่ต่างประเทศ CETA มีโปรแกรม Summer Course ให้น้อง ๆ ได้เลือกตามความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นซัมเมอร์ อังกฤษ หรือซัมเมอร์ ออสเตรเลีย พร้อมสัมผัสประสบการณ์การเรียนในโรงเรียนชั้นนำ เรียนรู้วัฒนธรรมผ่านกิจกรรมหลากหลาย โดยมีพี่ลีดเดอร์ที่มีประสบการณ์คอยดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดโครงการ สอบถามรายละเอียดโครงการต่าง ๆ จาก CETA ได้ที่

เลือกโรงเรียนมัธยมให้ลูกยังไง ให้เหมาะสมที่สุด

เลือกโรงเรียนมัธยมให้ลูกยังไง ให้เหมาะสมที่สุด

การตัดสินใจเลือกโรงเรียนมัธยมให้ลูกถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะส่งผลต่ออนาคตของพวกเขา เพราะช่วงมัธยมศึกษาเป็นวัยที่เด็ก ๆ กำลังค้นหาตัวเอง พัฒนาทักษะทางสังคม และเริ่มวางเส้นทางการเรียนที่จะนำไปสู่อาชีพในอนาคต ผู้ปกครองหลายท่านจึงให้ความสำคัญกับการเลือกโรงเรียนมัธยมให้ลูกเป็นพิเศษ มาดูกันว่าเราควรพิจารณาอะไรบ้าง

 

โรงเรียนที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร

  • มีปรัชญาและวิสัยทัศน์ทางการศึกษาที่ชัดเจน มุ่งเน้นการพัฒนานักเรียนแบบองค์รวม ไม่ใช่แค่เรื่องวิชาการอย่างเดียว แต่รวมถึงทักษะการใช้ชีวิต คุณธรรม และความเป็นผู้นำ
  • ได้รับการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีระบบการบริหารจัดการที่โปร่งใส และมีการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
  • สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีความปลอดภัย และบรรยากาศเอื้อต่อการเรียนรู้  
  • ขนาดชั้นเรียนไม่ใหญ่เกินไป นักเรียนได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง

 

เลือกโรงเรียนมัธยมให้ลูก ต้องดูอะไรบ้าง

เลือกโรงเรียนมัธยมให้ลูก ต้องดูอะไรบ้าง

การเลือกโรงเรียนมัธยมให้ลูกนั้นเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะจะส่งผลต่อพัฒนาการและการเติบโตของลูกในหลาย ๆ ด้าน มาดูปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณากัน

 

1. ความชอบของลูก

การเลือกโรงเรียนมัธยมให้ลูกควรเริ่มต้นจากการพูดคุยและรับฟังความต้องการของลูกเป็นหลัก เพราะความสนใจและความถนัดของเด็กแต่ละคนแตกต่างกัน บางคนอาจชอบด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ขณะที่บางคนอาจมีใจรักในด้านศิลปะหรือดนตรี การให้ลูกได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบจะช่วยสร้างแรงจูงใจและความสุขในการเรียนรู้

 

2. หลักสูตรของโรงเรียน

โรงเรียนควรมีหลักสูตรที่ทันสมัย ครอบคลุมทั้งวิชาการและทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 ไม่ว่าจะเป็นการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการสื่อสาร นอกจากนี้ยังควรมีการบูรณาการเทคโนโลยีเข้ากับการเรียนการสอน เพื่อเตรียมความพร้อมให้เด็ก ๆ สามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างมั่นใจ

โรงเรียนไทยส่วนใหญ่ใช้หลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ แต่ถ้าเป็นโรงเรียนนานาชาติ หรือโรงเรียนต่างประเทศ จะใช้หลักสูตรนานาชาติ อย่างเช่นหลักสูตร IB ที่มุ่งเน้นการศึกษาแบบบูรณาการ ส่งเสริมให้เด็ก ๆ คิดอย่างมีวิจารณญาณ สามารถเลือกเรียนวิชาที่สนใจเองได้ และที่สำคัญได้รับการยอมรับระดับสากล ช่วยเปิดประตูสู่มหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก

หรือหลักสูตร American Curriculum ที่เน้นการเรียนแบบยืดหยุ่น สอนทั้งวิชาการและกิจกรรมควบคู่กัน เพื่อให้เด็กค้นพบสิ่งที่ตัวเองชอบ และสนับสนุนให้เด็กกล้าแสดงออกในด้านที่ถนัด เรียกได้ว่า ถ้าอยากให้เด็ก ๆ เรียนรู้แบบเปิดกว้าง ไม่จำกัดเฉพาะวิชาการ หรือการเรียนในห้องเรียน หลักสูตรนานาชาติเหล่านี้ถือเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์

 

3. สภาพแวดล้อมโดยรอบ

สภาพแวดล้อมของโรงเรียนส่งผลโดยตรงต่อการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็ก การเลือกโรงเรียนมัธยมให้ลูกจึงควรพิจารณาทั้งทำเลที่ตั้ง ความสะดวกในการเดินทาง และบรรยากาศโดยรอบ หากโรงเรียนอยู่ในพื้นที่เงียบสงบ อากาศดี จะช่วยสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ทำให้เด็ก ๆ มีสมาธิในการเรียนมากขึ้น

 

4. กิจกรรมนอกหลักสูตร

กิจกรรมเสริมหลักสูตรมีส่วนสำคัญในการพัฒนาทักษะรอบด้านให้กับนักเรียน โรงเรียนที่ดีควรมีชมรมและกิจกรรมที่หลากหลาย ทั้งด้านกีฬา ศิลปะ ดนตรี และจิตอาสา เพื่อให้นักเรียนได้ค้นพบความสนใจและพัฒนาศักยภาพของตนเอง รวมถึงเรียนรู้การทำงานร่วมกับผู้อื่น การบริหารเวลา และการเป็นผู้นำ

เลือกโรงเรียนมัธยมให้ลูกยังไง ให้เหมาะสมที่สุด

5. คุณสมบัติของครูผู้สอน

คุณภาพของครูผู้สอนเป็นปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม อย่างโรงเรียนในต่างประเทศ โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกา มีมาตรฐานในการคัดเลือกครูที่เข้มงวด โดยครูจะมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ไม่ได้มีลักษณะที่ให้ครูท่านเดียวสอนหลายวิชา ซึ่งตรงนี้จะช่วยให้นักเรียนได้รับความรู้อย่างเต็มที่และนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง

นอกจากนี้ ครูที่ดีไม่เพียงมีความรู้และประสบการณ์ในการสอนเท่านั้น แต่ต้องมีจิตวิทยาในการดูแลนักเรียน เข้าใจธรรมชาติของวัยรุ่น และสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้เด็ก ๆ อยากเรียนรู้

 

6. สิ่งอำนวยความสะดวกในโรงเรียน

โรงเรียนควรมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ทั้งห้องเรียน ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ห้องคอมพิวเตอร์ ห้องสมุด สนามกีฬา รวมไปถึงพื้นที่สีเขียว สวนหย่อม มุมพักผ่อน เพื่อให้นักเรียนได้ผ่อนคลาย สิ่งเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาการของนักเรียนในทุก ๆ ด้าน

 

7. ขนาดชั้นเรียน

ขนาดของห้องเรียนส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพการเรียนการสอน การเลือกโรงเรียนมัธยมให้ลูกควรพิจารณาจำนวนนักเรียนต่อห้องที่เหมาะสม เพื่อให้ครูสามารถดูแลและให้ความสนใจนักเรียนได้อย่างทั่วถึง ห้องเรียนขนาดเล็กจะช่วยให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูและนักเรียนได้ดีกว่า และเปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในชั้นเรียนมากขึ้น

 

8. ค่าเทอม

การพิจารณาเรื่องค่าใช้จ่ายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการเลือกโรงเรียนมัธยมให้ลูก นอกจากค่าเล่าเรียนแล้ว ควรคำนึงถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่ากิจกรรมพิเศษ และค่าเดินทาง โดยเปรียบเทียบกับคุณภาพการศึกษาและสิ่งที่ลูกจะได้รับ เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว

 

สรุปบทความ

การเลือกโรงเรียนมัธยมให้ลูกเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน ตั้งแต่ความชอบของลูก หลักสูตร สภาพแวดล้อม ไปจนถึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แต่ที่สำคัญที่สุดคือการเลือกโรงเรียนที่จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการและความสามารถของลูกได้อย่างเต็มที่ 

สำหรับผู้ปกครองที่สนใจส่งลูกไปศึกษาต่อในโรงเรียนมัธยมชั้นนำระดับนานาชาติ CETA พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลตั้งแต่การเลือกโรงเรียนที่เหมาะสม การสมัครเรียน ไปจนถึงการดูแลระหว่างที่ศึกษาอยู่ต่างประเทศ เพื่อให้ลูก ๆ ได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีคุณภาพและพร้อมก้าวสู่อนาคตอย่างมั่นใจ สอบถามรายละเอียดต่าง ๆ จาก CETA ได้ที่ 

8 ข้อควรรู้ ก่อนตัดสินใจส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ

ข้อควรรู้ ก่อนตัดสินใจส่งลูกไปเรียนต่างประเทศการส่งลูกไปเรียนต่างประเทศถือเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญของครอบครัว ที่จะเปิดโอกาสให้ลูกได้พัฒนาทั้งด้านการศึกษา ทักษะภาษา และประสบการณ์ชีวิต แต่ก่อนจะตัดสินใจส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ มีหลายสิ่งที่ผู้ปกครองควรพิจารณาให้รอบคอบ เพื่อให้การเรียนต่อต่างประเทศของลูกเป็นไปอย่างราบรื่นและได้ประโยชน์สูงสุด

8 ข้อควรรู้ ก่อนส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ

การเตรียมความพร้อมก่อนส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ มัธยม เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ทั้งผู้ปกครองและลูกมั่นใจว่าพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ มาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่ต้องพิจารณา

1. ความสมัครใจของลูก

ก่อนตัดสินใจส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ สิ่งสำคัญที่สุดคือการพูดคุยและรับฟังความคิดเห็นของลูก เพราะความสำเร็จในการเรียนต่อต่างประเทศขึ้นอยู่กับความพร้อมและความตั้งใจของตัวลูกเอง ผู้ปกครองควรให้ลูกมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ตั้งแต่การเลือกประเทศ โรงเรียน และที่พัก รวมถึงควรประเมินว่าลูกมีวุฒิภาวะเพียงพอที่จะใช้ชีวิตในต่างแดนหรือไม่ เพราะการไปเรียนต่างประเทศต้องอาศัยความรับผิดชอบและการปรับตัวสูง

2. การปรับพื้นฐานภาษาอังกฤษ

ทักษะภาษาอังกฤษเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการไปเรียนต่างประเทศ ผู้ปกครองควรส่งเสริมให้ลูกฝึกฝนภาษาอังกฤษอย่างต่อเนื่อง ทั้งการฟัง พูด อ่าน และเขียน โดยอาจเริ่มจากการเรียนพิเศษ ดูหนังฟังเพลงภาษาอังกฤษ หรือพูดคุยกับชาวต่างชาติ

3. ประเทศและเมืองที่ใช่

การเลือกประเทศสำหรับการไปเรียนต่างประเทศนั้น ต้องพิจารณาหลายปัจจัย ทั้งระบบการศึกษา ค่าครองชีพ ความปลอดภัย และวัฒนธรรมที่แตกต่าง ประเทศยอดนิยมสำหรับการส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ มัธยม ได้แก่ อังกฤษ อเมริกา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ แต่ละประเทศมีจุดเด่นและข้อควรพิจารณาที่แตกต่างกัน ควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดและเลือกให้เหมาะกับลูก

ประเทศและเมืองที่ใช่4. สถานศึกษาที่ต้องการ

การเลือกโรงเรียนต่างประเทศที่เหมาะสมเป็นอีกปัจจัยสำคัญ ควรพิจารณาหลักสูตรการเรียนการสอน ชื่อเสียงของสถาบัน สิ่งอำนวยความสะดวก และกิจกรรมเสริมหลักสูตร นอกจากนี้ยังต้องดูเรื่องที่ตั้ง การเดินทาง และสภาพแวดล้อมโดยรอบ บางโรงเรียนอาจมีโปรแกรมพิเศษสำหรับนักเรียนต่างชาติ เช่น คลาสปรับพื้นฐานภาษา หรือกิจกรรมแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม

5. ประเภทที่พักอาศัย

เรื่องที่พักอาศัยมีให้เลือก 2 แบบหลัก ๆ คือ หอพักในโรงเรียนและโฮมสเตย์ 

  • หอพัก เหมาะสำหรับน้อง ๆ ที่ต้องการความเป็นอิสระและต้องการใช้เวลาส่วนใหญ่ในโรงเรียน มีเพื่อนและกิจกรรมให้ทำตลอด มีข้อดีตรงที่อยู่ใกล้กับสถานศึกษา ทำให้สามารถเดินทางได้สะดวก
  • โฮมสเตย์ เหมาะกับน้อง ๆ ที่ต้องการสัมผัสวิถีชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด ได้ฝึกภาษาและปรับตัวเข้ากับโฮสแฟมิลี่ 

ทั้งสองแบบมีข้อดีต่างกัน ควรเลือกตามความเหมาะสมและความต้องการของลูก

6. งบประมาณ

การส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ ค่าใช้จ่ายถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องวางแผนอย่างรอบคอบ นอกจากค่าเล่าเรียนแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าประกันสุขภาพ และค่าใช้จ่ายส่วนตัว เป็นต้น 

อย่างค่าเทอมโรงเรียนมัธยมส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 1 ล้านบาทขึ้นไปต่อปี ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ค่ากินค่าอยู่ เฉลี่ยอยู่ที่ 5,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับค่าครองชีพ ดังนั้น ควรวางแผนงบประมาณให้ครอบคลุมตลอดระยะเวลาการศึกษา รวมถึงเผื่องบฉุกเฉินไว้ด้วย นอกจากนี้อาจพิจารณาหาทุนการศึกษาหรือโครงการแลกเปลี่ยนเพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย

งบประมาณ7. เอกสารที่ต้องใช้

การเตรียมเอกสารสำหรับการไปเรียนต่างประเทศต้องทำอย่างรอบคอบและครบถ้วน เอกสารพื้นฐานที่ต้องเตรียม ได้แก่ 

  • หนังสือเดินทาง
  • ผลการเรียน
  • ผลสอบภาษาอังกฤษ 
  • หลักฐานการศึกษาจากสถาบันเดิมและปัจจุบัน
  • จดหมายรับรองจากอาจารย์ หรือผู้อำนวยการโรงเรียน หรืออธิการ

บางประเทศอาจต้องการเอกสารเพิ่มเติม เช่น ประกันสุขภาพ หรือหนังสือยินยอมจากผู้ปกครอง แนะนำให้สอบถามกับสถานศึกษา และควรเตรียมเอกสารล่วงหน้าเพื่อให้มีเวลาแก้ไขหากมีปัญหา

8. การขอวีซ่า

การขอวีซ่านักเรียนเป็นขั้นตอนสำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างถูกต้องและรอบคอบ แต่ละประเทศมีข้อกำหนดและระยะเวลาในการพิจารณาวีซ่าที่แตกต่างกัน ต้องศึกษาข้อมูลให้ดีและเตรียมเอกสารให้ครบถ้วน โดยเฉพาะหลักฐานทางการเงินและจดหมายตอบรับจากสถานศึกษา ควรยื่นขอวีซ่าล่วงหน้าอย่างน้อย 2-3 เดือนก่อนเปิดเทอม เพื่อเผื่อเวลาในกรณีที่ต้องแก้ไขหรือเพิ่มเติมเอกสาร

ส่งลูกเรียนต่างประเทศต้องเตรียมตัวอย่างไร?

ส่งลูกเรียนต่างประเทศต้องเตรียมตัวอย่างไรแล้วการส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ ต้องเตรียมอะไรบ้าง? เรามี 5 ขั้นตอนที่ผู้ปกครองควรดำเนินการมาฝากกัน

  • การเตรียมความพร้อมด้านภาษา ต้องฝึกฝนให้ลูกสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ในระดับที่ใช้งานได้จริง ทั้งการฟัง พูด อ่าน เขียน พร้อมทั้งเตรียมสอบวัดระดับภาษาที่เป็นที่ยอมรับ
  • การเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยพิจารณาจากอายุและวุฒิภาวะของลูก ช่วงอายุ 11 (Year 7) – 13 (Year 9) ปี ถือเป็นช่วงที่เหมาะสม เพราะลูกสามารถปรับตัวได้ดีและมีเวลาพัฒนาทักษะต่าง ๆ ได้เต็มที่
  • การทดลองเรียนระยะสั้น อาจส่งลูกไปเรียนภาคฤดูร้อนก่อน เพื่อให้ลูกได้ลองปรับตัวและสัมผัสประสบการณ์จริง เป็นการประเมินความพร้อมก่อนตัดสินใจเรียนระยะยาว
  • การวางแผนการสมัครและกำหนดการ ต้องติดตามข้อมูลการรับสมัครของสถานศึกษาอย่างใกล้ชิด เตรียมเอกสารให้พร้อม และยื่นใบสมัครตามกำหนดเวลา
  • การวางแผนการเงิน ต้องประเมินค่าใช้จ่ายทั้งหมดตลอดหลักสูตร รวมถึงค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน และอาจหาข้อมูลเรื่องทุนการศึกษาเผื่อไว้ เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถสนับสนุนการเรียนของลูกได้จนจบหลักสูตร

เลือกเรียนต่างประเทศที่ไหนดี?

หลายครอบครัวไม่แน่ใจว่า ควรเลือกเรียนต่างประเทศที่ไหนดี? การตัดสินใจเลือกประเทศสำหรับการไปเรียนต่างประเทศนั้น ควรพิจารณาให้รอบด้านเพื่อให้เหมาะสมกับลูกมากที่สุด ดังนี้

  • ระบบการศึกษาและมาตรฐาน ต้องพิจารณาว่าระบบการศึกษาของประเทศนั้นเป็นที่ยอมรับในระดับสากล มีหลักสูตรที่เหมาะสมกับลูก และสามารถเทียบโอนกลับมาเรียนต่อในไทยได้
  • ค่าครองชีพและค่าใช้จ่าย แต่ละประเทศมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน ต้องประเมินทั้งค่าเล่าเรียน ค่าที่พัก และค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เพื่อวางแผนการเงินให้เหมาะสม
  • สภาพแวดล้อมและความปลอดภัย ควรเลือกประเทศและเมืองที่มีความปลอดภัยสูง มีระบบขนส่งสาธารณะที่สะดวก และมีสภาพอากาศที่ลูกสามารถปรับตัวได้
  • ภาษาและวัฒนธรรม พิจารณาว่าลูกจะสามารถปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตในประเทศนั้นได้หรือไม่ รวมถึงโอกาสในการพัฒนาทักษะภาษา
  • โอกาสในอนาคต มองถึงโอกาสในการศึกษาต่อระดับสูงขึ้น หรือโอกาสในการทำงานในอนาคต หากลูกต้องการศึกษาต่อหรือทำงานในประเทศนั้น

สรุปบทความ

การส่งลูกไปเรียนต่างประเทศเป็นการลงทุนที่สำคัญทั้งด้านการศึกษาและประสบการณ์ชีวิต การเตรียมความพร้อมในทุกด้านจึงเป็นสิ่งจำเป็น ทั้งการพัฒนาทักษะภาษา การเลือกประเทศและสถานศึกษาที่เหมาะสม การวางแผนการเงิน และการเตรียมเอกสารต่าง ๆ

แต่ถ้าผู้ปกครองท่านไหนยังไม่แน่ใจ CETA พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลทุกขั้นตอนของการไปเรียนต่อมัธยมในต่างประเทศ ตั้งแต่การสมัครเรียน ทำวีซ่า หาที่พัก และให้ความช่วยเหลืออื่น ๆ ตลอดจนจบการศึกษา ให้การเรียนต่อต่างประเทศของลูกเป็นไปอย่างราบรื่นและได้ประโยชน์สูงสุด

CETA เป็นผู้เชี่ยวชาญโครงการ Summer Course โครงการ Short-term และการศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาที่ต่างประเทศ พร้อมประสบการณ์ในวงการศึกษาต่อต่างประเทศมากกว่า 22 ปี สอบถามรายละเอียดโครงการต่าง ๆ จาก CETA ได้ที่ 

เรียนต่างประเทศที่ไหนดี? แนะนำ 6 ประเทศน่าเรียนต่อ

เรียนต่างประเทศที่ไหนดี_ แนะนำ 10 ประเทศน่าเรียนต่อ

การเรียนต่อต่างประเทศถือเป็นประสบการณ์ที่มีค่าและน่าจดจำ นอกจากได้พัฒนาทักษะทางภาษาแล้ว ยังได้เรียนรู้การใช้ชีวิต วัฒนธรรม และสร้างมิตรภาพกับเพื่อนต่างชาติ แต่หลายคนจะยังไม่แน่ใจว่า ควรไปเรียนต่างประเทศที่ไหนดี? วันนี้ CETA จึงจะพาทุกคนไปดู 6 ประเทศยอดนิยมที่เหมาะสำหรับการเรียนต่อต่างประเทศ พร้อมข้อมูลที่น่าสนใจที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

 

เรียนต่างประเทศที่ไหนดี?

การตัดสินใจเลือกประเทศสำหรับการเรียน มีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องพิจารณา ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพการศึกษา ค่าใช้จ่าย วัฒนธรรม และโอกาสในการทำงานหลังจบการศึกษา แต่ละประเทศมีจุดเด่นและระบบการศึกษาที่แตกต่างกัน มาดูกันว่า ควรเรียนต่างประเทศที่ไหนดี ประเทศไหนเหมาะกับคุณที่สุด

 

1. อังกฤษ

อังกฤษ

รียนต่างประเทศที่ไหนดี? อังกฤษ เป็นจุดหมายยอดนิยมสำหรับการเรียนต่อต่างประเทศ ด้วยระบบการศึกษาที่มีมาตรฐานสูงและประวัติศาสตร์อันยาวนาน นักเรียนจะได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษ พร้อมสัมผัสวัฒนธรรมที่ผสมผสานระหว่างความคลาสสิกและความทันสมัย หลักสูตรการเรียนเน้นการคิดวิเคราะห์และความคิดสร้างสรรค์ โดยเฉพาะในระดับมัธยมศึกษาที่มีการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่มหาวิทยาลัยอย่างเข้มข้น

 

2. สหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา

การเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกาเปิดโอกาสให้นักเรียนได้สัมผัสระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่นและหลากหลาย โรงเรียนมัธยมในอเมริกามีกิจกรรมเสริมหลักสูตรมากมาย ทั้งด้านกีฬา ศิลปะ และวิชาการ ระบบการศึกษาเน้นการพัฒนาทักษะรอบด้าน ส่งเสริมความเป็นผู้นำและการแสดงความคิดเห็น นักเรียนสามารถเลือกวิชาเรียนได้ตามความสนใจ พร้อมโอกาสในการเข้าร่วมชมรมและกิจกรรมที่หลากหลาย ซึ่งช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ชีวิตที่มีคุณค่า

 

3. ออสเตรเลีย

ออสเตรเลีย

ออสเตรเลีย มีระบบการศึกษาที่มีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับทั่วโลก บรรยากาศการเรียนที่ผ่อนคลาย ผสมผสานกับความเข้มข้นทางวิชาการ สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเป็นมิตร อากาศดี และมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม ค่าเล่าเรียน ค่าครองชีพก็ไม่สูงมากนัก ที่สำคัญสังคมออสเตรเลียมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม คนไทยเยอะ ร้านอาหารไทยเพียบ มาที่นี่หมดกังวลปัญหาคิดถึงอาหารไทยไปได้เลย

 

4. แคนาดา

แคนาดา

ถ้าถามว่า จะเรียนต่างประเทศที่ไหนดี? ต้องมีแคนาดาอยู่ในลิสต์ เพราะคุณภาพการศึกษาของแคนาดาอยู่ระดับท็อปของโลกมาโดยตลอด ค่าเล่าเรียนสมเหตุสมผล แม้จะเป็นประเทศขนาดใหญ่ แต่ประชากรไม่หนาแน่น อัตราอาชญากรรมต่ำ ผู้ปกครองจึงมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยของนักเรียนได้เลย นอกจากนี้ ค่าครองชีพยังไม่สูงมาก สามารถทำงานพิเศษระหว่างเรียนได้อย่างถูกกฎหมาย ใครอยากเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย ที่นี่ตอบโจทย์

 

5. นิวซีแลนด์

นิวซีแลนด์

นิวซีแลนด์เป็นประเทศที่มีระบบการศึกษาคุณภาพสูง เทียบเท่าได้กับอังกฤษและแคนาดา โรงเรียนมัธยมในนิวซีแลนด์มีการสอนที่เน้นการปฏิบัติ ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ และมีกิจกรรมนอกห้องเรียนมากมาย นอกจากนี้ นิวซีแลนด์ยังเป็นประเทศ Top 5 ประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลก เนื่องจากมีอัตราการเกิดอาชญากรรมต่ำ ชาวนิวซีแลนด์ก็เป็นมิตร อีกทั้งยังมีธรรมชาติที่งดงาม และกิจกรรน่าสนใจหลากหลายให้ร่วมทำกับเพื่อน ๆ ในวันหยุดพักผ่อน

 

6. สวิตเซอร์แลนด์

สวิตเซอร์แลนด์

นอกจากความสวยงามของภูมิประเทศ ระบบการศึกษาในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ก็ไม่เป็นรองใคร ไม่ว่าจะเรียนต่อโรงเรียนของรัฐบาลหรือเอกชนก็มีคุณภาพการศึกษาสูงตามมาตรฐาน อีกทั้งยังเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางภาษา แต่ละพื้นที่ใช้ภาษาต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส เยอรมัน หรืออิตาเลียน ทำให้นักเรียนมีโอกาสทางภาษามากขึ้น นอกจากเรื่องเรียนแล้ว สถานที่ท่องเที่ยวยังมีความสวยงาม และมีความหลากหลาย เช่นเมืองเก่าเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์อย่างซูริค หรือกีฬาผจญภัยหน้าหนาวในเทือกเขาแอลป์ก็น่าประทับใจไม่แพ้กัน 

 

สรุปบทความ

อ่านมาถึงตรงนี้ หวังว่า ข้อมูลที่เรานำมาฝากจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่กำลังลังเลอยู่ว่าจะเรียนต่างประเทศที่ไหนดี อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเลือกประเทศสำหรับการเรียนต่อควรพิจารณาจากความชอบ ความถนัด และเป้าหมายในอนาคตของตัวเอง รวมถึงงบประมาณและความพร้อมด้านภาษา ไม่ว่าจะเลือกประเทศไหน การเรียนต่อต่างประเทศจะเป็นประสบการณ์ที่มีค่า ช่วยพัฒนาทั้งความรู้ ทักษะ และมุมมองที่กว้างไกลขึ้น พร้อมโอกาสในการสร้างเครือข่ายและมิตรภาพที่จะติดตัวไปตลอดชีวิต

CETA เป็นผู้เชี่ยวชาญโครงการ Summer Course โครงการ Short-term และการศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาที่ต่างประเทศ พร้อมประสบการณ์ในวงการศึกษาต่อต่างประเทศมากกว่า 22 ปี สอบถามรายละเอียดโครงการต่าง ๆ จาก CETA ได้ที่ 

ส่อง 6 โรงเรียนในสวิตเซอร์แลนด์ ที่ไหนน่าสนใจบ้าง

ส่อง 6 โรงเรียนในสวิตเซอร์แลนด์ ที่ไหนน่าสนใจบ้าง

สวิตเซอร์แลนด์ ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก ด้วยมาตรฐานการเรียนการสอนระดับสูง หลักสูตรที่ครอบคลุม และสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ทำให้โรงเรียนในสวิตเซอร์แลนด์กลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับผู้ปกครองที่ต้องการมอบการศึกษาที่ดีที่สุดให้กับบุตรหลาน วันนี้ CETA จะพาคุณไปรู้จักกับ 6 โรงเรียนชั้นนำในสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมรายละเอียดที่น่าสนใจเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ

 

6 โรงเรียนในสวิตเซอร์แลนด์

การเลือกโรงเรียนในสวิตเซอร์แลนด์นั้นถือเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ เพราะแต่ละสถาบันต่างมีจุดเด่นและเอกลักษณ์เฉพาะตัว วันนี้เราได้คัดสรร 6 โรงเรียนชั้นนำที่มีมาตรฐานการเรียนการสอนระดับสากล พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ให้คุณได้พิจารณาเป็นตัวเลือกสำหรับบุตรหลาน

 

1. Collège Champittet

Collège Champittet

ที่มารูปภาพ : Nord Anglia Education

โรงเรียนในสวิตเซอร์แลนด์แห่งแรก คือ Collège Champittet ตั้งอยู่ในเมืองโลซานน์ (Lausanne) ริมทะเลสาบเจนีวา เป็นโรงเรียนประจำและไป-กลับที่มีประวัติยาวนานมากกว่า 120 ปี เปิดรับนักเรียนตั้งแต่อายุ 3-18 ปีสำหรับนักเรียนไป–กลับ และนักเรียนประจำช่วงอายุ 11-18 ปี การเรียนสอนของที่นี่จะใช้ภาษาฝรั่งเศสและอังกฤษเป็นหลัก มีจำนวนนักเรียนเฉลี่ย 16 คน ต่อ 1 ห้องเรียน จึงทำให้ครูดูแลนักเรียนได้อย่างทั่วถึง นอกจากการเรียนแบบเข้มข้นแล้ว ยังมีกิจกรรมหลังเลิกเรียน และช่วงวันหยุดด้วย ส่วนหอพักของโรงเรียนจะเป็นห้องแบบ 2 คน แยกชาย-หญิง พร้อมอาหาร 3 มื้อ และคุณครูดูแลตลอด 24 ชม. 

ที่ตั้ง

  • เมืองโลซานน์ (Lausanne)

หลักสูตรการศึกษา

  • หลักสูตร IB (International Baccalaureate Programme)
  • หลักสูตร Swiss Maturité
  • หลักสูตร French Baccalaureate

 

2. Collège du Léman

Collège du Léman

ที่มารูปภาพ : Nord Anglia Education

Collège du Léman ตั้งอยู่ในเมืองเจนีวา (Geneva) เป็นโรงเรียนนานาชาติที่เปิดสอนตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงมัธยมปลาย ทั้งนักเรียนสวิสและนักเรียนต่างชาติ อายุ 2-18 ปี โดยเปิดรับนักเรียนต่างชาติตั้งแต่อายุ 8 ปีขึ้นไป

โรงเรียนมีนักเรียนจากกว่า 100 ประเทศ สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่เป็นสากลอย่างแท้จริง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก และกิจกรรมเสริมหลักสูตรที่หลากหลาย นอกจากนี้ทางโรงเรียนยังมีการจัด Camp ต่าง ๆ อีกด้วย เช่น Summer Camp, Winter Camp หรือ Pre-University Camp เป็นต้น ส่วนหอพักอยู่ในเขตหมู่บ้านที่สงบและปลอดภัย มีอาหาร 3 มื้อ พร้อมครูดูแลตลอด 24 ชม.

ที่ตั้ง

  • เมืองเจนีวา (Geneva)

หลักสูตรการศึกษา

  • หลักสูตร IB (International Baccalaureate Programme)
  • หลักสูตร US High School Diploma 
  • หลักสูตร UK IGCSE (General Certificate of Secondary Education)
  • หลักสูตร French Baccalaureate
  • หลักสูตร Swiss Maturité

 

3. Copperfield Verbier

Copperfield Verbier

ที่มารูปภาพ : Copperfield Verbier

Copperfield Verbier โรงเรียนประจำแห่งใหม่ที่ตั้งอยู่ในเมืองแวร์บีเย (Verbier) ซึ่งเป็นเมือง Ski Resort ที่มีชื่อเสียง เป็นโรงเรียน Ski – In Ski – Out School หรือพูดง่าย ๆ ก็คือเมื่อใดที่อยากเล่นสกี ก็วิ่งขึ้นลานสกีได้เลย มีนักเรียนมากกว่า 20 เชื้อชาติ การเรียนการสอนจะปรับรูปแบบการเรียนรู้ตามความสนใจของนักเรียนแบบรายบุคคล ชั้นเรียนขนาดเล็ก ทำให้คุณครูสามารถดูแลนักเรียนได้อย่างใกล้ชิดเหมือนคนในครอบครัว นอกจากนี้มีกีฬาตามฤดูกาลหลากหลายประเภท เช่น สกี สโนว์บอร์ด เทนนิส ขี่ม้า และปั่นจักรยานเสือภูเขา

ที่ตั้ง

  • เมืองแวร์บีเย (Verbier)

หลักสูตรการศึกษา

  • หลักสูตร IB (International Baccalaureate Programme)
  • หลักสูตร IGCSE (General Certificate of Secondary Education)

 

4. St George’s International

St George_s International

ที่มารูปภาพ : St George’s International

St George’s International โรงเรียนในสวิตเซอร์แลนด์ที่ตั้งอยู่ในเมืองมองเทรอซ์ (Montreux) เมืองเล็ก ๆ ริมทะเลสาบเจนีวา เป็นโรงเรียนประจำนานาชาติระบบอังกฤษในสวิตเซอร์แลนด์ ประกอบด้วยนักเรียนมากกว่า 60 เชื้อชาติ นอกเหนือจากความเป็นเลิศทางวิชาการ โรงเรียนยังส่งเสริมกิจกรรมนอกหลักสูตรที่หลากหลาย ทั้งศิลปะ วัฒนธรรม กีฬา และชมรมต่าง ๆ ถ้ามาเรียนที่นี่นักเรียนจะได้เรียนรู้ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่สวยงามริมทะเลสาบเจนีวา บอกเลยว่า แฮปปี้สุด ๆ !

ที่ตั้ง

  • เมืองมองเทรอซ์ (Montreux)

หลักสูตรการศึกษา

  • หลักสูตร IB (International Baccalaureate Programme)
  • หลักสูตร IGCSE (General Certificate of Secondary Education)
  • หลักสูตร US High School Diploma

 

5. Surval Montreux

Surval Montreux

ที่มารูปภาพ : Surval Montreux

Surval Montreux เป็นโรงเรียนนานาชาติประจำหญิงล้วนอันเก่าแก่ในสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งอยู่ในทำเลที่สวยงามมองเห็นวิวทะเลสาบและเทือกเขาแอลป์อย่างเมืองมองเทรอซ์ (Montreux) โรงเรียนมุ่งเน้นการพัฒนาความเป็นผู้นำและทักษะสังคมควบคู่ไปกับความเป็นเลิศทางวิชาการ เรียนรู้ทักษะการใช้ชีวิต รวมถึงมีกิจกรรมและการทัศนศึกษาตลอดปีการศึกษา นอกจากนี้ เวลาว่างสามารถออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งอย่าง พายเรือ ว่ายน้ำ ปีนเขา เทนนิส สกี ได้อีกด้วย

ที่ตั้ง

  • เมืองมองเทรอซ์ (Montreux)

หลักสูตรการศึกษา

  • หลักสูตร IGCSE (General Certificate of Secondary Education)
  • หลักสูตร A-Level
  • หลักสูตร US High School Diploma

 

6. Swiss Boarding Schools Disentis & Zurich

Swiss Boarding Schools Disentis & Zurich

ที่มารูปภาพ : Swiss Boarding Schools Disentis & Zurich

ปิดท้ายด้วย Swiss Boarding Schools มี 2 แคมปัส คือเมืองดิเซนทิส (Disentis) ท่ามกลางธรรมชาติ และเมืองซูริค (Zurich) เมืองหลวงทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม การเรียนการสอนของที่นี่ เน้นสนับสนุนนักเรียนเป็นรายบุคคลในทุกด้าน ทั้งการสร้างองค์ความรู้ ทักษะสำคัญ ตลอดจนการพัฒนาตนเอง ในช่วงวันหยุดฤดูร้อนและฤดูหนาว มี Holiday Camps สำหรับเด็กอายุ 13-16 ปีจากทั่วทุกมุมโลก โดยมีการจำกัดจำนวนนักเรียนต่อสัญชาติต่อแคมป์ เพื่อสร้างประสบการณ์ระดับนานาชาติที่หลากหลายอย่างแท้จริง

ที่ตั้ง

  • เมืองดิเซนทิส (Disentis) และเมืองซูริค (Zurich)

หลักสูตรการศึกษา

  • หลักสูตร IGCSE (General Certificate of Secondary Education)
  • หลักสูตร A-Level

 

สรุปบทความ

โรงเรียนในสวิตเซอร์แลนด์แต่ละแห่งล้วนมีจุดเด่นและเอกลักษณ์เฉพาะตัว การเลือกสถาบันที่เหมาะสมจึงขึ้นอยู่กับความต้องการและเป้าหมายของแต่ละครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นด้านภาษา หลักสูตร หรือสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ แต่หากไม่แน่ใจ CETA พร้อมให้คำปรึกษาและแนะแนวการเรียนต่อมัธยมต่างประเทศแบบครบวงจร ตั้งแต่การเลือกโรงเรียนที่เหมาะสม การเตรียมเอกสาร การสมัครเรียน ไปจนถึงการดูแลระหว่างการศึกษา 

CETA เป็นผู้เชี่ยวชาญโครงการ Summer Course โครงการ Short-term และการศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาที่ต่างประเทศ พร้อมประสบการณ์ในวงการศึกษาต่อต่างประเทศมากกว่า 22 ปี สอบถามรายละเอียดโครงการต่าง ๆ จาก CETA ได้ที่ 

ไปซัมเมอร์ต่างประเทศ เรียนภาษาอะไรดี

ไปซัมเมอร์ต่างประเทศ เรียนภาษาอะไรดี

ช่วงซัมเมอร์ที่กำลังจะมาถึงนี้ หลายคนคงกำลังมองหาโอกาสดี ๆ ในการพัฒนาตัวเอง และการไปเรียนภาษาต่างประเทศก็เป็นตัวเลือกยอดนิยม แต่คำถามที่มักตามมาคือ เราควรเลือกเรียนภาษาอะไรดี ภาษาไหนที่จะเป็นประโยชน์กับเราในระยะยาว วันนี้ CETA มีคำตอบดี ๆ มาฝากกัน

 

3 ภาษาน่าเรียน มีประโยชน์ในอนาคต

3 ภาษาน่าเรียน มีประโยชน์ในอนาคต

การเรียนภาษาต่างประเทศในช่วงซัมเมอร์นอกจากจะได้พัฒนาทักษะทางภาษาแล้ว ยังเป็นโอกาสในการสัมผัสวัฒนธรรมใหม่ ๆ และสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำ มาดูกันว่าภาษาไหนบ้างที่น่าสนใจ และจะเลือกเรียนภาษาอะไรดี

 

1. ภาษาอังกฤษ

ภาษาอังกฤษยังคงครองแชมป์ภาษายอดนิยมที่ทุกคนควรเรียน เพราะเป็นภาษาสากลที่ใช้สื่อสารได้ทั่วโลก ไม่ว่าคุณจะเดินทางไปที่ไหน ทำงานในสายอาชีพใด ภาษาอังกฤษก็เป็นทักษะพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ การไปเรียนภาษาอังกฤษในต่างประเทศจะช่วยให้ได้ฝึกฝนกับเจ้าของภาษาโดยตรง ซึมซับสำเนียงที่ถูกต้อง และที่สำคัญคือได้ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันจริง ๆ ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษให้แข็งแกร่ง

 

2. ภาษาสเปน

ใครที่มีความใฝ่ฝันอยากทำงานที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ยังไม่รู้จะเลือกเรียนภาษาอะไรดี ภาษาสเปนเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะเป็นภาษาที่มีผู้พูดมากเป็นอันดับสองของโลก และกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในวงการธุรกิจระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ภาษาสเปนยังมีโครงสร้างที่คล้ายคลึงกับภาษาอื่น ๆ ในตระกูลโรมานซ์ ทำให้สามารถต่อยอดไปเรียนภาษาอิตาเลียนหรือโปรตุเกสได้ง่ายขึ้น

 

3. ภาษาฝรั่งเศส

ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่มีใช้กันทั่วทั้ง 5 ทวีป และยังเป็นภาษาที่ใช้ในองค์กรต่าง ๆ ระดับโลกอีกด้วย ถ้าสามารถพูดภาษาฝรั่งเศสได้ จะเป็นโอกาสที่ดีในการทำงานในอนาคต ซึ่งไม่ได้จำกัดแค่ทำงานในประเทศฝรั่งเศสเท่านั้น แต่สามารถทำงานได้ในประเทศอื่น ๆ ที่มีการใช้ภาษาฝรั่งเศสเช่นกัน เช่น แคนาดา สวิตเซอร์แลนด์ เบลเยี่ยม และในทวีปแอฟริกา ถ้ายังไม่รู้จะเรียนภาษาอะไรดี ภาษานี้ก็น่าสนใจ!

 

จะไปซัมเมอร์ทั้งที เราควรเลือกยังไง

จะไปซัมเมอร์ทั้งที เราควรเลือกยังไง

การเลือกโปรแกรมซัมเมอร์ นอกจากเรื่องของภาษาที่อยากเรียนแล้ว มีอีก 6 ข้อที่ควรพิจารณาเช่นกัน ดังนี้

 

1. เลือกประเทศ

การเลือกประเทศเปรียบเสมือนการเลือกจุดหมายปลายทางในฝัน มีปัจจัยมากมายที่ควรพิจารณา ไม่ว่าจะเป็น สภาพอากาศ งบประมาณ ความสนใจ และที่ขาดไม่ได้คือ ความปลอดภัยของประเทศนั้น ๆ ควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจ 

ที่ CETA เรามีโปรแกรมซัมเมอร์ 2 ประเทศยอดฮิต นั่นก็คือ ซัมเมอร์ อังกฤษ และซัมเมอร์ ออสเตรเลีย โดยผู้เรียนจะได้สัมผัสประสบการณ์การเรียนและใช้ชีวิตกับนักเรียนของประเทศนั้น ๆ ตลอดทั้งโปรแกรม พร้อมด้วยกิจกรรมมากมาย หากยังไม่มีตัวเลือกประเทศในใจ สามารถสอบถามรายละเอียดโปรแกรมประเทศต่าง ๆ จาก CETA ได้เลย

 

2. เลือกโรงเรียน ที่พัก หลักสูตร

การเลือกโรงเรียนและหลักสูตรที่เหมาะสม ควรพิจารณาจากชื่อเสียงของสถาบัน คุณภาพการสอน ขนาดห้องเรียน และความหลากหลายของกิจกรรม เรื่องที่พักก็สำคัญไม่แพ้กัน ต้องดูทั้งความสะอาด ความปลอดภัย การเดินทางไปโรงเรียน และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ บางคนอาจเลือกพักกับโฮสต์แฟมิลี่เพื่อฝึกภาษาและเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นแบบเต็มที่

สำหรับโปรแกรมซัมเมอร์คอร์สของ CETA จะได้ไปเรียนที่โรงเรียนชั้นนำของประเทศนั้น ๆ ส่วนเรื่องที่พักก็ไม่ต้องกังวล ที่อังกฤษจะได้พักในหอพักของโรงเรียน ส่วนออสเตรเลียจะได้พักกับครอบครัวชาวออสเตรเลียและมีรถโรงเรียนรับ-ส่ง ปลอดภัยสุด ๆ

 

3. เตรียมค่าใช้จ่าย

การวางแผนเรื่องค่าใช้จ่าย ผู้ปกครองต้องคิดให้ครอบคลุมทุกด้าน โดยแต่ละประเทศมีค่าครองชีพไม่เท่ากัน ควรเผื่องบประมาณสำหรับค่าใช้จ่ายฉุกเฉินและการท่องเที่ยวด้วย เพราะโปรแกรมซัมเมอร์คอร์สจะมีช่วงพาผู้เรียนไปเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ 

ซัมเมอร์คอร์สออสเตรเลียของเรา มีพาไปเที่ยว 2 เมืองใหญ่อย่าง Melbourne และ Sydney ส่วนซัมเมอร์คอร์สอังกฤษ มีให้เลือกทั้งโปรแกรมที่พาไปเช็กอิน 4 เมืองใหญ่ London, Oxford, Bath, Bristol โปรแกรมที่พาไปเช็กอิน Manchester, Liverpool, York, Birmingham หรือโปรแกรมที่พาไปเที่ยวฝรั่งเศสจุก ๆ 3 วัน 2 คืน ใครที่ชื่นชอบภาษาฝรั่งเศส อยากไปฟังสำเนียงแบบออริจินัล หรืออยากสัมผัสเมืองแห่งแฟชั่น ต้องห้ามพลาด!

 

4. ดูรายละเอียดกิจกรรม

กิจกรรมนอกห้องเรียนเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้การเรียนภาษาสนุกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โปรแกรมที่ดีควรมีกิจกรรมที่หลากหลาย ทั้งทัศนศึกษา กีฬา งานอดิเรก และกิจกรรมทางวัฒนธรรม ซึ่งนอกจากจะช่วยฝึกภาษาแล้ว ยังทำให้ได้เพื่อนใหม่จากหลากหลายประเทศ และสร้างความทรงจำดี ๆ ระหว่างการเรียน

 

5. ความน่าเชื่อถือของผู้จัดโปรแกรม

ความน่าเชื่อถือของผู้จัดโปรแกรมเป็นปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม CETA เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาต่างประเทศที่มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี เราคัดสรรโปรแกรมคุณภาพ จับมือกับสถาบันชั้นนำระดับโลก และมีทีมงานคอยดูแลตลอดโปรแกรม ทำให้ผู้ปกครองวางใจได้ว่าลูกจะได้รับประสบการณ์ที่ดีและปลอดภัย

 

6. รีวิวจากคนที่เคยไป

การอ่านรีวิวจากผู้ที่เคยไปเรียนมาก่อนจะช่วยให้เราเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น ทั้งเรื่องการเรียน ที่พัก อาหาร กิจกรรม และการใช้ชีวิตประจำวัน ลองหาข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่ง สอบถามรุ่นพี่ที่เคยไป หรือขอคำแนะนำจากเอเจนซี่ที่จัดโปรแกรม เพื่อให้มั่นใจว่าโปรแกรมที่เลือกตรงกับความต้องการของเรามากที่สุด

 

สรุปบทความ

การเลือกเรียนภาษาอะไรดีในช่วงซัมเมอร์เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับอนาคต ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ สเปน หรือฝรั่งเศส แต่ละภาษาล้วนมีเสน่ห์และประโยชน์ในแบบของตัวเอง อย่างไรก็ตามภาษาอังกฤษก็ยังเป็นภาษากลางที่มีคนใช้มากที่สุด ไม่ว่าจะเพื่อไปเรียนต่อ หรือไปเที่ยว ดังนั้นใครสนใจไปเรียนซัมเมอร์ต่างประเทศเพื่อฝึกภาษาอังกฤษ ติดต่อ CETA ได้เลย เราพร้อมดูแลตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายของโปรแกรม

CETA เป็นผู้เชี่ยวชาญโปรแกรม Summer Course การทดลองเรียนระยะสั้น Short-term และการศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาที่ต่างประเทศ พร้อมประสบการณ์ในวงการศึกษาต่อต่างประเทศมากกว่า 20 ปี สอบถามรายละเอียดต่าง ๆ จาก CETA ได้ที่ 

ควรส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ อายุเท่าไหร่ดี

ควรส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ อายุเท่าไหร่ดี

หลายครอบครัวมักสงสัยว่า ควรส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ อายุเท่าไหร่ดี เพราะการตัดสินใจครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของลูกไปตลอดกาล ทั้งในแง่การพัฒนาทักษะภาษา การเรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ และการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความพร้อมรอบด้าน วันนี้เรามาดูกันว่าช่วงเวลาที่เหมาะสมในการส่งลูกไปเรียนต่างประเทศคือเมื่อไหร่ และต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

ช่วงอายุที่เหมาะสมในการส่งลูกเรียนต่างประเทศ

ช่วงอายุที่เหมาะสมในการส่งลูกเรียนต่างประเทศ

ส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ อายุเท่าไหร่ดี? ช่วงอายุที่เหมาะสม คืออายุ 14-15 ปี เพราะเป็นช่วงที่เด็กมีวุฒิภาวะเพียงพอที่จะดูแลตัวเองได้ มีความพร้อมในการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ และยังเป็นวัยทองของการพัฒนาทักษะภาษาที่จะช่วยให้เด็กซึมซับภาษาอังกฤษได้อย่างเป็นธรรมชาติ

 

ข้อดีของการส่งลูกไปเรียนต่างประเทศช่วงอายุ 14-15 ปี

  • ปรับตัวให้เข้าสู่สภาพแวดล้อมใหม่ได้ง่าย
  • สามารถเรียนรู้และจดจำภาษาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว
  • มีวุฒิภาวะเพียงพอที่จะรับผิดชอบการเรียนและการใช้ชีวิตประจำวัน
  • เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการสร้างรากฐานการศึกษาเพื่อเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัย
  • มีโอกาสพัฒนาทักษะต่าง ๆ เช่น การสื่อสาร การแก้ปัญหา และความเป็นผู้นำ ผ่านกิจกรรมในโรงเรียน
  • สร้างคอนเน็กชันเพื่อนต่างชาติที่จะเป็นประโยชน์ในอนาคต

 

เตรียมความพร้อมอย่างไรก่อนส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ

เตรียมความพร้อมอย่างไรก่อนส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ

การส่งลูกไปเรียนต่อมัธยมต่างประเทศ นอกจากการเลือกช่วงอายุที่เหมาะสมแล้ว ก็ต้องมีการวางแผนและเตรียมความพร้อมอย่างรอบด้าน ทั้งตัวผู้ปกครองและตัวเด็กเอง มาดูกันว่าเราควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

 

การเตรียมความพร้อมด้านภาษา

การเตรียมพื้นฐานภาษาอังกฤษเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกสำหรับการไปเรียนต่างประเทศ โดยผู้ปกครองควรส่งเสริมให้ลูกฝึกฝนภาษาอังกฤษผ่านกิจกรรมที่สนุกและน่าสนใจ เช่น การดูซีรีส์ภาษาอังกฤษ การฟังเพลง หรือการพูดคุยกับเพื่อนต่างชาติผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ นอกจากนี้ ลองให้น้อง ๆ สมัครเรียนคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ หรือสมัครเรียนในโรงเรียนนานาชาติก็เป็นอีกทางเลือกที่จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในการใช้ภาษาอังกฤษให้กับลูก

 

การเตรียมความพร้อมด้านการใช้ชีวิต

การใช้ชีวิตในต่างประเทศเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่สำหรับเด็กวัย 14-15 ปี ผู้ปกครองควรฝึกให้ลูกมีความรับผิดชอบในการดูแลตัวเองมากขึ้น ตั้งแต่การจัดการเวลา การดูแลความสะอาดห้องพัก รวมถึงการบริหารจัดการเงิน การสร้างวินัยในการใช้ชีวิตประจำวันเหล่านี้จะช่วยให้ลูกปรับตัวเข้ากับการใช้ชีวิตในต่างประเทศได้ง่ายขึ้น และมีความพร้อมที่จะเผชิญกับสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วยตัวเอง

 

การเลือกประเทศและสถานศึกษา

การเลือกประเทศและสถานศึกษาที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อความสำเร็จในการเรียนต่างประเทศของลูก ควรพิจารณาจากหลายปัจจัย ทั้งคุณภาพการศึกษา หลักสูตรที่เปิดสอน บรรยากาศการเรียนรู้ ความปลอดภัย สภาพแวดล้อม และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ

ที่ CETA เรามีโปรแกรมเรียนต่อมัธยมต่างประเทศในประเทศชั้นนำทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศอังกฤษที่มีระบบการศึกษาคุณภาพ ออสเตรเลียที่มีคุณภาพชีวิตระดับท็อป นิวซีแลนด์ที่สวยงามและปลอดภัย แคนาดาที่เป็นมิตรกับนักเรียนต่างชาติ หรืออเมริกาที่ระบบการศึกษาเป็นที่ยอมรับระดับสากลโลก 

นอกจากนี้ยังมีโรงเรียนในอังกฤษมัธยม โรงเรียนมัธยมในออสเตรเลีย โรงเรียนมัธยมในนิวซีแลนด์ โรงเรียนมัธยมในแคนาดา และโรงเรียนมัธยมในอเมริกาให้เลือกอีกเพียบ ทีมงานของเรายินดีให้คำแนะนำในการเลือกประเทศที่ตอบโจทย์น้อง ๆ ที่สุด และดำเนินการสมัครเรียนให้ได้

 

การวางแผนด้านการเงิน

การวางแผนด้านการเงินเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ค่าใช้จ่ายในการเรียนต่างประเทศประกอบด้วยหลายส่วน ทั้งค่าเล่าเรียน ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าประกันสุขภาพ ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ผู้ปกครองตรวจสอบความสามารถในการจ่ายค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายในต่างประเทศ และวางแผนการเงินล่วงหน้าอย่างน้อย 1-2 ปี เพื่อให้มีเงินเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายตลอดระยะเวลาที่ลูกเรียนในต่างประเทศ

 

สรุปบทความ

ได้คำตอบกันแล้วว่า ควรส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ อายุเท่าไหร่ดี ซึ่งในช่วงอายุ 14-15 ปี เป็นช่วงที่เด็กมีความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ นอกจากนี้ การเตรียมความพร้อมที่ดีทั้งด้านภาษา การใช้ชีวิต และการเงิน จะช่วยให้การเรียนต่างประเทศของลูกประสบความสำเร็จ สำหรับครอบครัวที่กำลังวางแผนส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ CETA พร้อมให้คำปรึกษาและวางแผนการศึกษาที่เหมาะสมสำหรับน้อง ๆ ด้วยประสบการณ์การดูแลนักเรียน เราพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างอนาคตที่สดใสให้กับลูกของคุณ

CETA เป็นผู้เชี่ยวชาญโปรแกรม Summer Course การทดลองเรียนระยะสั้น Short-term และการศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาที่ต่างประเทศ พร้อมประสบการณ์ในวงการศึกษาต่อต่างประเทศมากกว่า 20 ปี สอบถามรายละเอียดต่าง ๆ จาก CETA ได้ที่ 

รวม 7 เหตุผลดี ๆ ที่ควรส่งลูกเรียนซัมเมอร์ต่างประเทศ

รวม 7 เหตุผลดี ๆ ที่ควรส่งลูกเรียนซัมเมอร์ต่างประเทศ

การส่งลูกเรียนซัมเมอร์ต่างประเทศเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว นอกจากจะได้พัฒนาทักษะภาษาแล้ว ยังเป็นโอกาสให้เด็ก ๆ ได้เติบโตทั้งด้านความคิดและการใช้ชีวิต ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาได้จากห้องเรียนทั่วไป แต่ผู้ปกครองบางท่านอาจจะยังไม่แน่ใจว่าควรส่งลูกไปซัมเมอร์ที่ต่างประเทศดีไหม วันนี้เรามี 7 เหตุผลดีๆ มาบอกต่อกัน

 

7 เหตุผลที่ควรส่งลูกเรียนซัมเมอร์ต่างประเทศ

เหตุผลที่ควรส่งลูกเรียนซัมเมอร์ต่างประเทศ

การเรียนซัมเมอร์ต่างประเทศเป็นมากกว่าการท่องเที่ยวหรือเรียนภาษา แต่เป็นการเปิดโลกทัศน์และสร้างทักษะชีวิตที่สำคัญ มาดูกันว่าทำไมผู้ปกครองจำนวนมากจึงควรส่งลูกไปเรียนซัมเมอร์ในต่างแดน

 

1. พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษในสภาพแวดล้อมจริง

การเรียนภาษาอังกฤษในห้องเรียนเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ การส่งลูกเรียนซัมเมอร์ต่างประเทศจะช่วยให้เด็ก ๆ ได้ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตจริง ทั้งการสื่อสารกับเพื่อน การเรียนในชั้นเรียน และการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งจะช่วยพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษได้อย่างรวดเร็วและเป็นธรรมชาติ

 

2. เสริมสร้างความมั่นใจและความเป็นผู้นำ

การได้ออกไปใช้ชีวิตในต่างประเทศ แม้เพียงระยะสั้น จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับเด็ก ๆ อย่างเห็นได้ชัด พวกเขาจะได้เรียนรู้การตัดสินใจด้วยตนเอง การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และการแสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเป็นผู้นำในอนาคต

 

3. เรียนรู้การปรับตัวและพึ่งพาตนเอง

การใช้ชีวิตในต่างประเทศช่วยฝึกให้เด็ก ๆ รู้จักการปรับตัวกับสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมที่แตกต่าง พวกเขาจะได้เรียนรู้การจัดการชีวิตประจำวัน การบริหารเวลา และการแก้ปัญหาด้วยตนเอง ทักษะเหล่านี้จะติดตัวและเป็นประโยชน์ไปตลอดชีวิต

 

4. สัมผัสวัฒนธรรมที่แตกต่าง

การส่งลูกเรียนซัมเมอร์ต่างประเทศช่วยเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้และเข้าใจวัฒนธรรมที่แตกต่าง ทั้งวิถีชีวิต อาหาร การแต่งกาย และประเพณีต่าง ๆ ประสบการณ์นี้จะช่วยให้มีมุมมองที่กว้างขึ้น และเข้าใจความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากขึ้น

 

สัมผัสวัฒนธรรมที่แตกต่าง

5. สร้างมิตรภาพกับเพื่อนนานาชาติ

โปรแกรมซัมเมอร์ต่างประเทศเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้พบเพื่อนใหม่จากทั่วโลก การสร้างมิตรภาพข้ามวัฒนธรรมไม่เพียงสร้างความทรงจำที่ดี แต่ยังเป็นการสร้างเครือข่ายระดับนานาชาติที่อาจเป็นประโยชน์ในอนาคต

 

6. เตรียมความพร้อมสำหรับการศึกษาต่อต่างประเทศ

สำหรับครอบครัวที่วางแผนส่งลูกไปเรียนต่อต่างประเทศในอนาคต การเรียนซัมเมอร์เป็นการทดลองที่ดี เด็ก ๆ จะได้ลองใช้ชีวิตในต่างประเทศ เรียนรู้ระบบการศึกษา และประเมินความพร้อมของตนเอง ก่อนตัดสินใจเรียนต่อในระยะยาว

 

7. พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และความคิดสร้างสรรค์

การเรียนในต่างประเทศเน้นการคิดวิเคราะห์และความคิดสร้างสรรค์ เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้การแสดงความคิดเห็น การทำงานกลุ่ม และการนำเสนอผลงาน ซึ่งเป็นทักษะสำคัญสำหรับการเรียนและการทำงานในอนาคต

 

ซัมเมอร์ต่างประเทศกี่เดือน

ซัมเมอร์ต่างประเทศกี่เดือน

โปรแกรมซัมเมอร์ต่างประเทศส่วนใหญ่มีระยะเวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ไม่สั้นหรือยาวจนเกินไป เพียงพอให้เด็ก ๆ ได้ปรับตัว เรียนรู้ และพัฒนาทักษะต่าง ๆ อย่างเต็มที่ โดยบางโปรแกรมอาจยืดหยุ่นได้ตามความต้องการของผู้ปกครอง

 

ส่งลูกเรียนซัมเมอร์ต่างประเทศ อายุเท่าไหร่ดี

อายุที่เหมาะสมสำหรับการเริ่มเรียนซัมเมอร์ต่างประเทศ คือประมาณ 12 ปี เพราะเป็นวัยที่เด็กมีวุฒิภาวะเพียงพอที่จะดูแลตัวเองได้ในระดับหนึ่ง และสามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาความพร้อมของเด็กเป็นรายบุคคล

 

ส่งลูกเรียนซัมเมอร์ต่างประเทศที่ไหนดี

แน่นอนว่า ประเทศที่เป็นจุดหมายยอดนิยมสำหรับการส่งลูกเรียนซัมเมอร์ต่างประเทศ มักเป็นประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก อย่างเช่น อังกฤษ อเมริกา ออสเตรเลีย สวิตเซอร์แลนด์ และแคนาดา ก็ถือเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ แต่ละประเทศมีจุดเด่นต่างกัน การเลือกจึงขึ้นอยู่กับเป้าหมายและความสนใจของเด็กเป็นสำคัญ

 

สรุปบทความ

การส่งลูกเรียนซัมเมอร์ต่างประเทศเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับการพัฒนาทักษะรอบด้านของเด็ก หากผู้ปกครองท่านไหนมั่นใจแล้วว่า ควรส่งน้อง ๆ ไปซัมเมอร์ที่ต่างประเทศ แต่ยังไม่รู้ว่า ควรส่งไปที่ประเทศไหนดี สามารถปรึกษา CETA ได้เลย เราเป็นผู้เชี่ยวชาญโครงการ Summer Course ที่ครอบคลุม 5 ประเทศชั้นนำ ได้แก่ อังกฤษ ออสเตรเลีย แคนาดา สวิตเซอร์แลนด์ และอเมริกา ด้วยประสบการณ์อันยาวนานและการดูแลอย่างมืออาชีพ CETA พร้อมช่วยให้คำแนะนำและวางแผนการเรียนซัมเมอร์ที่เหมาะสมกับบุตรหลานของท่าน

CETA เป็นผู้เชี่ยวชาญโครงการ Summer Course โครงการ Short-term และการศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาที่ต่างประเทศ พร้อมประสบการณ์ในวงการศึกษาต่อต่างประเทศมากกว่า 22 ปี สอบถามรายละเอียดโครงการต่าง ๆ จาก CETA ได้ที่ 

10 เหตุผลทำไมควรไปเรียนต่อมัธยมต่างประเทศ

10 เหตุผลทำไมควรไปเรียนต่อมัธยมต่างประเทศ

ผู้ปกครองและน้อง ๆ หลายคนอาจกำลังลังเลว่า ควรไปเรียนต่อมัธยมต่างประเทศดีไหม หรือรอไปเรียนต่อตอนมหาวิทยาลัยดี บางคนอาจกังวลเรื่องการปรับตัว การใช้ชีวิต หรือแม้แต่เรื่องค่าใช้จ่าย แต่รู้ไหมว่า การตัดสินใจเรียนต่อมัธยมปลายต่างประเทศอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เปิดประตูสู่โอกาสมากมายในอนาคต มาดูกันว่าทำไมหลายครอบครัวถึงเลือกส่งลูก ๆ ไปเรียนต่ออังกฤษมัธยม หรือประเทศอื่น ๆ กันแต่เนิ่น ๆ

เรียนต่อมัธยมต่างประเทศมีประโยชน์อย่างไร

การเรียนต่อมัธยมต่างประเทศไม่ใช่แค่การไปนั่งเรียนในห้องเรียนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลางเท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตที่สดใสของลูก ๆ ด้วยเหตุผลมากมาย ดังต่อไปนี้

1. ได้ใช้ภาษาคล่องแคล่ว เหมือนเป็น Mother Tongue

การได้เริ่มเรียนต่อต่างประเทศตั้งแต่อายุยังน้อยเป็นจังหวะที่เหมาะสมที่สุด เพราะสามารถซึมซับและเรียนรู้ภาษาใหม่ได้ง่าย ไม่เหมือนกับการไปเรียนตอนโต ที่อาจต้องใช้เวลาในการปรับตัวมากกว่า การได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษตลอดเวลา ทั้งในห้องเรียน หอพัก และกิจกรรมต่าง ๆ จะทำให้น้อง ๆ พูด ฟัง อ่าน เขียนได้อย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับเป็นภาษาแม่

2. เพิ่มโอกาสในการทำงานในอนาคต

การไปเรียนต่อต่างประเทศมัธยมปลายเป็นประตูสู่โอกาสในการทำงาน เพราะระหว่างที่เรียน น้อง ๆ จะได้ใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกับเพื่อนร่วมชั้น อาจารย์ และคนในท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทักษะทางภาษาแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว เวลาต้องสัมภาษณ์งานเป็นภาษาอังกฤษก็หมดห่วงได้เลย! 

นอกจากนี้ การได้ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่หลากหลายวัฒนธรรมยังช่วยพัฒนาทักษะการเข้าสังคม ทำให้สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นจากหลากหลายเชื้อชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ผู้ประกอบการในยุคปัจจุบันให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก

3. สร้างความมั่นใจ

การได้ใช้ชีวิตในต่างประเทศตั้งแต่วัยมัธยมจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับน้อง ๆ อย่างเห็นได้ชัด เพราะต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ ทุกวัน ตั้งแต่การสื่อสารกับเพื่อนต่างชาติ การนำเสนองานหน้าชั้นเรียน ไปจนถึงการจัดการชีวิตประจำวันด้วยตัวเอง การผ่านพ้นความท้าทายเหล่านี้จะหล่อหลอมให้น้อง ๆ กลายเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเอง กล้าแสดงออก และพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมั่นใจ

3. สร้างความมั่นใจ

4. เพิ่มโอกาสในการเข้ามหาวิทยาลัย

จุดเด่นของการเรียนต่อมัธยมปลายต่างประเทศ คือการได้เรียนกับคุณครูที่จบเฉพาะทางและมีความเชี่ยวชาญในแต่ละสาขาวิชาโดยตรง ซึ่งแตกต่างจากโรงเรียนอินเตอร์ในไทยที่อาจมีการเปลี่ยนครูบ่อย และครูอาจไม่ได้จบตรงสาขาที่สอน การได้เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญโดยตรงนี้จะช่วยให้น้อง ๆ ได้เรียนเนื้อหาที่เข้มข้น มีมุมมองที่กว้างขึ้น และได้เปรียบเมื่อต้องสอบแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ

5. ได้เพื่อนใหม่จากทั่วทุกมุมโลก

เมื่อมาเรียนต่อมัธยมต่างประเทศ น้อง ๆ จะได้เจอเพื่อนใหม่จากหลากหลายประเทศ ซึ่งแต่ละคนมาพร้อมกับเรื่องราวและมุมมองที่น่าสนใจ น้อง ๆ จะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ทำกิจกรรมร่วมกัน สร้างมิตรภาพกับเพื่อนนานาชาติ ซึ่งเป็นการสร้างคอนเนคชั่นที่อาจเป็นประโยชน์ในการทำงานหรือทำธุรกิจในอนาคต และที่สำคัญคือได้มิตรภาพที่อาจคงอยู่ไปตลอดชีวิต

6. สัมผัสวัฒนธรรมใหม่ ๆ

การได้ใช้ชีวิตระหว่างเรียนต่อมัธยมปลายต่างประเทศ น้อง ๆ จะได้เรียนรู้วิถีชีวิต ประเพณี และวัฒนธรรมที่แตกต่างจากบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลสำคัญ อาหารประจำชาติ หรือแม้แต่มารยาทในการใช้ชีวิตประจำวัน การได้สัมผัสประสบการณ์เหล่านี้จะทำให้เข้าใจและยอมรับในความแตกต่างทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในการใช้ชีวิตในสังคมโลก

6. สัมผัสวัฒนธรรมใหม่ ๆ

7. พัฒนาทักษะการใช้ชีวิต Life Skills

การเรียนต่อมัธยมต่างประเทศไม่ใช่แค่การพัฒนาด้านวิชาการเท่านั้น แต่ยังเป็นการฝึกฝนทักษะชีวิตที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ การจัดการเวลา การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และการทำงานร่วมกับผู้อื่นที่มาจากต่างวัฒนธรรม ทักษะเหล่านี้เป็นรากฐานสำคัญที่จะติดตัวไปตลอดชีวิต และเป็นสิ่งที่มหาวิทยาลัยและบริษัทชั้นนำทั่วโลกให้ความสำคัญ

8. รู้จักดูแลและรับผิดชอบตัวเอง

การใช้ชีวิตในต่างแดนเพียงลำพังจะฝึกให้น้อง ๆ รู้จักพึ่งพาตัวเอง ตั้งแต่การบริหารจัดการเวลา การทำความสะอาดห้องพัก การดูแลสุขภาพ ไปจนถึงการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย ซึ่งทักษะเหล่านี้อาจไม่ได้รับการฝึกฝนมากนักหากอยู่ที่บ้าน การได้รับผิดชอบตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อยจะช่วยหล่อหลอมให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีวินัยและพึ่งพาตัวเองได้

9. ฉีกรูปแบบการเรียนแบบเดิมๆ มีวิชาให้เลือกตามความชอบ

ระบบการศึกษาในต่างประเทศมีความยืดหยุ่นและหลากหลายมากกว่า น้อง ๆ จะได้เลือกเรียนวิชาที่สนใจจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นศิลปะ ดนตรี หรือกีฬา นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมนอกหลักสูตรมากมายที่ช่วยพัฒนาความสามารถพิเศษ ทำให้การเรียนสนุกมากขึ้น ไม่ใช่แค่การท่องจำเพื่อสอบอย่างเดียว

10. คุณภาพชีวิตดี ได้ทั้งเรียน ทั้งเที่ยว

แน่นอนว่า ถ้าไปเรียนต่อมัธยมต่างประเทศ น้อง ๆ จะได้สัมผัสคุณภาพชีวิตที่ดี เพราะที่นู่นมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย บรรยากาศการเรียนที่เป็นมิตร แถมยังได้ท่องเที่ยวสถานที่สำคัญในประเทศนั้น ๆ ในวันหยุดสุดสัปดาห์หรือช่วงปิดเทอมอีกด้วย

10. คุณภาพชีวิตดี ได้ทั้งเรียน ทั้งเที่ยว

สรุปบทความ

การตัดสินใจเรียนต่อมัธยมต่างประเทศอาจเป็นก้าวสำคัญที่เปลี่ยนชีวิตน้อง ๆ ไปในทางที่ดีขึ้น นอกจากจะได้พัฒนาทักษะภาษา ความรู้ทางวิชาการ และโอกาสในการเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำแล้ว ยังได้เรียนรู้ทักษะชีวิตที่สำคัญ สร้างมิตรภาพกับเพื่อนทั่วโลก และเปิดมุมมองใหม่ ๆ ที่จะเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับอนาคต แม้อาจต้องใช้เงินลงทุนสูง แต่ผลตอบแทนที่ได้รับทั้งในแง่ของการศึกษา ประสบการณ์ชีวิต และโอกาสในอนาคต ถือว่าคุ้มค่าอย่างยิ่ง

CETA เป็นผู้เชี่ยวชาญโครงการ Summer Course โครงการทดลองเรียนระยะสั้น และการศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาที่ต่างประเทศ พร้อมประสบการณ์ในวงการศึกษาต่อต่างประเทศมากกว่า 20 ปี สอบถามรายละเอียดโครงการต่าง ๆ จาก CETA ได้ที่ 

เรียนซัมเมอร์คืออะไร เปิดข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจ

เรียนซัมเมอร์คืออะไร เปิดข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจ

เมื่อถึงช่วงปิดเทอม หลายครอบครัวมักจะกังวลว่าลูกจะใช้เวลาว่างอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด การเรียนซัมเมอร์จึงกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมที่ผู้ปกครองหลายคนพิจารณา แต่หลายท่านอาจยังสงสัยว่าเรียนซัมเมอร์คืออะไร และมีประโยชน์อย่างไรบ้าง วันนี้ CETA จะพาทุกท่านมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเรียนซัมเมอร์อย่างละเอียด พร้อมแนะนำข้อมูลที่จำเป็นก่อนตัดสินใจ

เรียนซัมเมอร์คืออะไร

การเรียนซัมเมอร์ เป็นหลักสูตรการเรียนพิเศษในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างทักษะและพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนนอกเหนือจากการเรียนในห้องเรียนปกติ โดยมีรูปแบบการเรียนการสอนที่หลากหลาย ทั้งการเรียนเสริมวิชาการ การฝึกทักษะภาษา กิจกรรมสร้างสรรค์ และการพัฒนาทักษะชีวิต ซึ่งแต่ละหลักสูตรจะมีระยะเวลาเรียนที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ 2-3 สัปดาห์ไปจนถึง 2-3 เดือน ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและความเข้มข้นของหลักสูตร

ประโยชน์ของการเรียนซัมเมอร์ที่หลายคนอาจยังไม่รู้

ประโยชน์ของการเรียนซัมเมอร์ที่หลายคนอาจยังไม่รู้

ได้รู้กันเบื้องต้นแล้วว่า เรียนซัมเมอร์คืออะไร ต้องบอกว่า การเรียนซัมเมอร์ไม่ใช่แค่การเรียนพิเศษธรรมดา แต่ยังมีประโยชน์มากมายที่จะช่วยพัฒนาผู้เรียนในหลากหลายด้าน มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

1. พัฒนาทักษะและความรู้ในช่วงปิดเทอม

การเรียนซัมเมอร์ เป็นโอกาสอันดีในการต่อยอดความรู้และทักษะที่มีอยู่ โดยเด็ก ๆ จะได้เรียนรู้ในบรรยากาศที่ผ่อนคลายกว่าการเรียนปกติ ทำให้สนุกกับการเรียนรู้มากขึ้น นอกจากนี้ หลักสูตรซัมเมอร์ยังมักจะนำเสนอเนื้อหาที่นอกเหนือจากในตำราเรียน ทำให้ได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ที่แตกต่างและหลากหลายมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์แทนที่จะปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์

2. เสริมสร้างทักษะทางสังคมและการปรับตัว

การเรียนซัมเมอร์ น้อง ๆ จะได้พบปะเพื่อนใหม่จากต่างห้อง ต่างโรงเรียน หรือต่างภูมิหลัง ซึ่งเป็นการฝึกทักษะการเข้าสังคมและการปรับตัวที่สำคัญ เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้การทำงานร่วมกับผู้อื่น การสื่อสาร และการแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ ทักษะเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะติดตัวไปใช้ในการเรียนระดับสูงขึ้นและการทำงานในอนาคต

3. เตรียมความพร้อมสำหรับการเรียนในเทอมถัดไป

การเรียนซัมเมอร์ช่วยให้เด็ก ๆ มีความพร้อมสำหรับการเรียนในภาคการศึกษาถัดไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิชาหลักที่ต้องใช้ความเข้าใจต่อเนื่อง เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาต่างประเทศ การได้ทบทวนและเรียนล่วงหน้าจะช่วยให้เด็ก ๆ มีความมั่นใจมากขึ้น และสามารถเรียนรู้เนื้อหาใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เรียนซัมเมอร์มีกี่รูปแบบ

เรียนซัมเมอร์มีกี่รูปแบบ

ปัจจุบันการเรียนซัมเมอร์มีความหลากหลายมากขึ้น ไม่ได้จำกัดแค่เรียนในโรงเรียนเสมอไป เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของทั้งผู้ปกครองและผู้เรียนเอง ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลัก ๆ ดังนี้ 

1. เรียนซัมเมอร์ต่างประเทศ

การไปเรียนซัมเมอร์ต่างประเทศ เป็นโอกาสที่จะได้พัฒนาทักษะภาษาและเรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ ๆ โดยตรง ผู้เรียนจะได้ใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ต้องสื่อสารภาษาต่างประเทศตลอดเวลา ได้เรียนรู้จากเจ้าของภาษา และได้ทำความรู้จักเพื่อนจากทั่วโลก นอกจากนี้ยังได้เปิดโลกทัศน์ผ่านการทำกิจกรรมนอกห้องเรียน การท่องเที่ยว และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม

ปัจจุบันมี Agency หลายแห่งจัดโปรแกรมซัมเมอร์ต่างประเทศ อย่าง CETA เอง เรามีคอร์สซัมเมอร์ต่างประเทศ ที่จะพาน้อง ๆ ไปเรียนรู้ในโรงเรียนชั้นนำของประเทศนั้น ๆ เสมือนเป็นนักเรียนจริง ๆ ของโรงเรียนเลยก็ว่าได้ พร้อมพี่ Group leader ที่คอยดูแลนักเรียนอย่างใกล้ชิดตลอดโปรแกรม นอกจากการเรียนในห้องเรียนแล้ว น้อง ๆ ยังได้ทำกิจกรรมนอกห้องเรียน ท่องเที่ยว และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดเตรียมไว้อย่างเหมาะสมและปลอดภัย

2. เรียนซัมเมอร์ในไทย

สำหรับการเรียนซัมเมอร์ในประเทศไทย มีหลากหลายรูปแบบให้เลือก ทั้งหลักสูตรที่จัดโดยโรงเรียนช่วงปิดเทอม Summer Camp ของสถาบันกวดวิชา หรือองค์กรการศึกษาต่าง ๆ โดยแต่ละที่จะมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน เช่น การเน้นวิชาการ การพัฒนาทักษะเฉพาะด้าน หรือการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ ข้อดีคือค่าใช้จ่ายไม่สูงมากเมื่อเทียบกับการเรียนต่างประเทศ และผู้ปกครองสามารถดูแลบุตรหลานได้อย่างใกล้ชิด

เรียนซัมเมอร์ที่ต่างประเทศดีไหม

เรียนซัมเมอร์ที่ต่างประเทศดีไหม

อ่านมาถึงตรงนี้ จะเห็นได้ว่า การส่งลูกเรียนซัมเมอร์ต่างประเทศน่าสนใจไม่น้อย แต่หากผู้ปกครองท่านใดยังลังเลอยู่ เราขอสรุปข้อดีของการเรียนซัมเมอร์ที่ต่างประเทศมาฝากกัน

  • ได้พัฒนาภาษาอังกฤษแบบก้าวกระโดด เพราะได้ใช้ภาษาในชีวิตประจำวันตลอดเวลา ทั้งในห้องเรียน หอพัก และระหว่างทำกิจกรรม
  • ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตด้วยตนเอง สร้างความรับผิดชอบและวินัยในตนเอง
  • เปิดโลกทัศน์และมุมมองใหม่ ๆ ผ่านการเรียนรู้วัฒนธรรม การใช้ชีวิต และการทำความรู้จักเพื่อนจากหลากหลายประเทศ
  • พัฒนาทักษะการปรับตัวและการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ซึ่งเป็นทักษะสำคัญสำหรับการศึกษาต่อและการทำงานในอนาคต

แม้การเรียนซัมเมอร์ที่ต่างประเทศจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการเรียนในประเทศ แต่ประสบการณ์และทักษะที่ได้รับนั้นประเมินค่าไม่ได้

สรุปบทความ

หวังว่าบทความนี้จะทำให้เข้าใจมากขึ้นว่า เรียนซัมเมอร์คืออะไร มีประโยชน์อย่างไรบ้าง ซึ่งการเรียนซัมเมอร์เป็นโอกาสที่น้อง ๆ จะได้พัฒนาตนเองระหว่างปิดภาคเรียน ไม่ว่าจะเลือกเรียนในประเทศหรือต่างประเทศ เด็ก ๆ จะได้รับประโยชน์ทั้งด้านวิชาการและทักษะชีวิต ดังนั้นผู้ปกครองสามารถเลือกให้เหมาะสมกับความต้องการของน้อง ๆ ได้เลย

สำหรับผู้ที่สนใจหลักสูตรซัมเมอร์ต่างประเทศ CETA ขอแนะนำ โครงการ Summer Course สุดปัง กับโปรแกรมที่น่าสนใจไม่ซ้ำใคร ทั้งคอร์สซัมเมอร์ อังกฤษ และคอร์สซัมเมอร์ ออสเตรเลีย ดูแลโดยพี่ Group leader มากประสบการณ์ตลอดทั้งโปรแกรม ได้ทั้งความรู้ควบคู่ความสนุก คุณพ่อคุณแม่วางใจ ลูก ๆ แฮปปี้! 

CETA เป็นผู้เชี่ยวชาญโครงการ Summer Course โครงการทดลองเรียนระยะสั้น  และการศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาที่ต่างประเทศ พร้อมประสบการณ์ในวงการศึกษาต่อต่างประเทศมากกว่า 20 ปี สอบถามรายละเอียดโครงการต่าง ๆ จาก CETA ได้ที่